พระเสด็จกลับ สุดยอดมงคลวัตถุ

หลวงปู่สุภา กันตะสีโล

พระเสด็จกลับ นับว่าเป็นวัตถุมงคล ที่หลวงปู่สุภาถือว่าเป็นสุดยอดแห่งวัตถุมงคล ที่ท่านได้สร้างขึ้น และมักย้ำเตือนบรรดาลูกศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่ได้รับแจกไปว่าพระเสด็จกลับเป็นพระที่สร้างยากมาก ประการแรก วัสดุส่วนผสมล้วนสำคัญและหาอีกไม่ได้ โดยเฉพาะว่านและอาถรรพณ์วัตถุ ที่หลวงปู่ได้มาจากการออกธุดงค์นั้น ไม่อาจหาได้อีก ประการที่สอง ฤกษ์ยาม และวาระโอกาสที่จะสร้างใหม่ ไม่มีอีกเหมือนกัน เพราะเป็นฤกษ์ที่ใช้สร้างวัตถุมงคลชุดนี้โดยแท้ ประการที่สามนั้น พระทุกองค์มีองค์เทพเทวดาประจำองค์อยู่ด้วย จึงเกิดอิทธิปาฏิหาริย์เป็นอันมาก ต้องระวังรักษาด้วยความเคารพ หาไม่แล้วก็จะเสด็จหนีไปเอง

ขุนแผนเสด็จกลับ จัดสร้างโดยหลวงปู่สุภารวมกับอาจารย์ชุม ไชยคีรี และพระอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ เมื่อปี 2506 โดยหนึ่งในพิธีปลุกเสกคือจะนำพระพิมพ์ต่างๆ รวม 108 องค์ไปอาราธนาลงในแม่น้ำ แล้วทำพิธีเรียกกลับในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งพระเสด็จกลับมาเพียง 106 องค์อีกสององค์ที่ไม่กลับสืบมาเนื่องจากหลวงปู่คงผู้เป็นอาจารย์
ของขุนแผนได้มอบให้ท้าวภุชงค์นาคราช และพระมเหสี การแสดงอภินิหารเสด็จกลับมานั้นได้สร้างความแปลกใจเป็นอย่างมากแก่ พระภิกษุสงฆ์ และประชาชนจำนวนมาก


ประวัติการสร้างพระเสด็จกลับของหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล พ.ศ. 2506
ประวัติพระผงวิเศษ 84,000 องค์ ทรงขุนแผนเรือนแก้ว ทรงพระรอด รูปและลูกประคำหลวงปู่คง ของอาจารย์ชุม ไชยคีรี รูปเหรียญ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ที่สร้างด้วยว่านยาแร่ธาตุ พญาว่านมหาว่าน มหาว่าน น้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์ รวม 2,000 กว่าชนิด 84,000 องค์ ผ้ายันต์เสือ ผ้ายันต์สิงห์ ของอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ น้ำมันมหานิยมเลิกรบ ของอาจารย์ชุม ที่ทำพิธีสร้าง และพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดสารอด เขตราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี โดยเจตนาช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาด้านรูปและวัตถุ มีนโยบายให้ผู้มีศรัทราน้อย รักนับถือในรูปแล้วเข้าถึงคุณเอาเอง และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถตลอดจนถึงเจ้าฟ้าพระเจ้าลูกยาเธอทั้งอุทิศส่วนกุศล เป็นสาธารณะทั่วไปโดยคณะผู้ดำเนินการสร้างไม่หวังผลตอบแทนอย่างอื่นเป็นประโยชน์ส่วนตัวอกจากปรารถนาบุญกุศล


พิธีพุทธาภิเษก


วัน 23 ธันวาคม 2506 เวลา 6.30 น. ได้อุดมฤกษ์พุทธาพิเษกและปลุกเสก อาจารย์ชุม ไชยคีรีอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ทำพิธีบวงสรวงสังเวย
เวลา 9.00 น. หลวงปู่สุภา กันตะสีโล เจิมเทียนชัยแล้วอาจารย์ทั้งสามท่านร่วมกันอธิษฐานเชิญครูอาจารย์ และวิญญาณเทพเข้าประจำในมลฑลพิธีวิญญาณขุนแผน เข้าประทับตรวจความเรียบร้อยของพิธีเสร็จแล้ว อาจารย์อุทัยเข้าบริกรรมเริ่มตั้งธาตุบรรจุธาตุ 8 ชั่วโมง พร้อมกันนั้นอาจารย์ชุม ไชยคีรี นำพระผงวิเศษที่สร้างรวม 108 องค์ ไปโดยเรือยนต์พร้อมด้วยพระสงฆ์ 5 รูป ไปทำพิธีสังเวยบวงสรวงกลางแม่น้ำ แล้วกลับมาทำพิธีศาลเทพารักษ์ที่สร้างไว้ที่แม่น้ำหน้าวัดสารอดอีกครั้งหนึ่ง
เวลา 19.00 น. พระเถระผู้ใหญ่ 9 รูป จากพระอารามหลวง และอารามต่างๆ มีสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนฯ เป็นประธาน เจริญพระพุทธมนต์
เวลา 20.30 น. เชิญวิญญาณอาจารย์คง อาจารย์ขุนแผนเข้าประทรับทรง จุดเทียนชัย พระสงฆ์ชุดพุทธาภิเษก 4 รูป สวดคาถาจุดเทียนไชย พระอาจารย์สุภา นั่งปรก วิญญาณขุนแผนเข้าประทับทรงอาจารย์ชุม อาจารย์อุทัย เข้าทำการปลุกเสก พระสวดพุทธาภิเษก
เวลา 21.00 น. หยุดเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ที่มา ในพิธีเข้าพบวิญญาณขุนแผนได้จนถึงเวลา 22.00 น.
เวลา 24.00 น.ขุนแผนพร้อมด้วยวิญญาณเทพทำพิธีตลอดพิธี มีพุทธาภิเษก และปลุกเสกบรรจุคุณ โดยพระอาจารย์ผู้ทรงคุณชุดละ 9 อาจารย์ และเชิญวิญญาณขุนแผนเข้าประทับทรงปลุกเสกบรรจุคุณตลอดพิธี โดยมีระเบียบและแบ่งเวลาออกดังนี้
ระยะที่ 1
– เสกตั้งธาตุ บรรจุธาตุแต่งธาตุ เสกพระคาถาจุติจากชั้นดุสิตลงสู่ พระครรภ์พระพุทธมารดา เสกพระคาถาประสูตรจากพระครรภ์เสกพระคาถาเสด็จย่าง 7 ก้าว พระอาการ 32 พระคาถาบำเพ็ญพระบารมี จนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า 3 วัน
– เสกธาตุ 4 อาการ 32 อักขระ 16 หัวใจ ของหัวใจ 108 อย่างละ 108 จบ 3 วัน
– เสกธาตุ 4 อาการ 32 อักขระ 16 หัวใจ ของหัวใจ 108 คาถาชุดคงกระพัน อย่างละ 108 จบ 5 วัน
ระยะที่ 2
เสกกันปืนมหาอุด กันวัตถุระเบิด ห้ามดินน้ำลมไฟเสกผูกเสกกัน 5 วัน
ระยะที่ 3
เสกแคล้วคลาด เสกศักดิ์สิทธิ์ 1 เสกไปกลับ แปลงรูปหุ่นยนต์ เสกกำแพงเพ็ชร์ 7 ชั้น
เสกมงกุฏ พระพุทธเจ้า 5 วัน
ระยะที่ 4
เสกมหานิยม มหาเสน่ห์ มหาละลวย มหาลาภ เลิกรบเลิกเบียดเบียน 5 วัน
ระยะที่ 5
เสกรวมเสกผูกกัน 4 วัน รวมเป็นเวลาพุทธาภิเษกและปลุกเสก 30 วัน วันละ 3 เวลาคือ เวลา 5.00 น 9.00 น. 21.00 น.

พระอาจารย์ที่เป็นพระต้องปลงอาบัติ ทุกครั้งแล้วจึงต้องเข้ามลฑลพิธี อาจารย์ที่เป็นฆราวาสต้องนุ่งขาวห่มขาวสมาทานศีลห้า โดยถือพรมจรรย์เป็นวัตรอยู่ประจำในบริเวณพิธี และบริเวณวัดตลอดพิธี เมือเสกจบลงระยะหนึ่งๆ ก็ทำการพิสูจน์ทดลองต่อหน้าประชาชนให้ผู้สนใจชม เป็นการอบรมศึกษาวิธีทำจิตให้เข้าถึงคุณพระไปในตัว การทดลองก็เพื่อชี้ให้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่าพระพุทธเจ้าแม้เสด็จเข้าสู่ปรินิพานไปนานแล้ว ยังทรงอยู่ แต่พระคุณทั้งหลาย ถ้าผู้ใดเข้าถึงพระพุทธคุณแล้ว ยกเอาพระพุทธคุณเป็นที่พึ่ง พระพุทธคุณย่อมเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก และกำตัดภัยให้ผู้เข้าถึงได้จริง นอกจากนั้น พระพุทธคุณย่อมแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ได้นานาประการ

วันที่ 23 มกราคม 2507 เวลา 20.00 น. นิมนต์พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสนากรรมฐาน 9 รูปสวดพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร์พระสหาสมัยสูตร แล้วสวดพุทธาภิเษก และปลุกเสก ด้วยพระอาจารย์ชุดเดิม ถึงเวลา 23.30 น.

วันที่ 24 มกราคม 2507 เวลา 03.00 น. นิมนต์พระอาจารย์ผู้ทรงคุณทางวิปัสนากรรมฐาน 9 รูป เข้านั่งปรก สงบเสียงอื่นๆ หมดจนถึงเวลา 04.00 น. ต่อจากนั้นสวดพุทธาภิเษกบทสุดท้าย พระอาจารย์ และอาจารย์ ชุดเดิมจุดเทียนมงคลเจิมเวียนเป็นทักษิณาวัตร 3 รอบ พระเถระ 9 รูปสวดชัยมงคลคาถา ย่ำคล้องย่ำกลองจนถึงเวลา 06.00 น พระสวดคาถาดับเทียนไชย พระอาจารย์และอาจารย์ชุดเดิมดับเทียนไชย และเทียนเจิมพร้อมกัน พระอาจารย์ อาจารย์ และคณะกรรมการนำพระผงปางที่สร้างขึ้นในพิธี และพระผลทุกรุ่นทุกปางของอาจารย์ชุม ไชยคีรี ที่เคยสร้างมาครั้งก่อนๆพร้อมด้วยแบบพิมพ์อธิษฐาน เข้าบรรจุไว้ในกรุใต้ฐานพระประธานในพระอุโบสถวัดสารอด เสร็จแล้วถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระอาจารย์ และพระสงฆ์ในวัดประมาณ 50 รูป
เวลา 08.00 น. พระเถระ 9 รูป สวดไชยมงคลคาถา พระเถระผู้สูงอายุนั่งเป็นประธาน พระอาจารย์และอาจารย์รวม 10 รูป บริกรรมนับพระ องค์ประธานให้คะแนนร้อยคะแนนพัน และคะแนนหมื่น เมื่อตรวจนับพระเสร็จแล้ว มอบให้คณะกรรมการ
เวลา 10.30 น. นิมนต์พระเถระ 9 รูป มีสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนฯ เป็นประธาน ทำพิธีสมโภชพระอาจารย์ อาจารย์ และคณะกรรมการพร้อมทั้งผู้พิมพ์พระ ทำบุญตักบาตรถวายเครื่องไทยทาน

วันที่ 25 มกราคม 2507 เวลา 06.00 น. – 12.00 น. เปิดปฐมฤกษ์ อาจารย์ชุม ไชยคีรี แจกพระให้แก่ทหารบก , ทหารเรือ , ทหารอากาศ , และตำรวจในเครื่องแบบฟรีโดยมิต้องเสียเงิน วิญญาณขุนแผนเข้าประทับทรง ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พระอาจารย์สุภา กนฺตสีโล และอาจารย์อุทัย อุจศรีวัตร แจกพระและผ้ายันต์แก่ทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริจาคเงิน ไปจนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507

วันที่ 13 – 19 กุมภาพันธ์ 2507 แจกที่ วัดเกาะสีคิ้ว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา

วันที่ 23 – 29 กุมภาพันธ์ 2507 แจกที่ สำนักวิหารธรรมขุนแผนอุทิศ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส

วันที่ 1 – 7 มีนาคม 2507 แจกที่ สำนักสงฆ์เกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต

หลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล อายุ 69 ปี 49 พรรษา ปกติท่านชอบถือธุดงค์เป็นวัตร ท่านอยู่ตามป่าตามถ้ำมากกว่าอยู่ประจำตามวัดวาอาราม แต่ท่านชอบสร้างวัดไว้ตามท้องถิ่นหมู่บ้านที่ไกลจากความเจริญ สร้างแล้วท่านก็มอบให้ผู้อื่นเป็นเจ้าอาวาส รวมวัดที่ท่านสร้างมาแล้ว 33 วัด ตัวท่านเองชอบจาริกไปตามอัธยาศัยของท่าน นอกจากจาริกไปทั่วประเทศไทยแล้ว ยังจาริกไปประเทศอินเดีย ประเทศญวน ประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศพม่า เป็นต้น ทั้งมีความสนใจในว่านยา แร่ธาตุ ที่เป็นกายสิทธิ์ ท่านจึงรวบรวมไว้หลายชนิด เพื่อเป็นการศึกษาค้นคว้าหาความจริง เมื่อปี พ.ศ. 2502 ท่านได้เดินทางไปจังหวัดภูเก็ต พบเขาลูกหนึ่งอยู่ในทะเล เขาเรียกกันว่า เกาะสิเหร่ อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองภูเก็ต ท่านก็ได้นั่งเจริญกรรมฐานอยู่บนเกาะนั้น ก็ได้พบกับมนุษย์จำพวกหนึ่งคือพวกชาวทะเล (หรือพวกเงาะน้ำ) ซึ่งเป็นมนุษย์แต่ไม่รู้ภาษาของมนุษย์อย่างมนุษย์จำพวกอื่นๆ ท่านจึงเกิดเมตตาจิต จึงอยู่อบรมสั่งสอนมนุษย์จำพวกนั้น ให้รู้ภาษามนุษย์และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษจนมนุษย์จำพวกนั้น 600 กว่าคนเลื่อมใสศรัทธารู้จักทำบุญให้ทาน พ่อค้า คฤหบดี และประชาชนที่ทราบในเมตตาจิตของท่าน ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส พร้อมใจกันสร้างสำนักสงฆ์ ขึ้นบนเกาะนั้น และได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ยาว 18.50 เมตร ประดิษฐานไว้บนยอดเขาที่เกาะนั้นเมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านได้ทูลเกล้า ขอพระราชทานแววพระเนตร จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมก็ทรงพระกรุณา พระราชทานให้ตามความปรารถนา แต่พระพุทธไสยาสน์องนั้น ยังมิได้มีพระวิหาร เป็นแต่ทำเป็นโรงมุงสังกะสีไว้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ท่านมีความปรารถนาจะสร้างพระวิหารให้ถาวรครอบพระพุทธไสยาสน์ โดยเสด็จพระราชกุศล ให้สมพระเกียรติ จึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พบกับอาจารย์ชุม ไชยคีรี ซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถในการสร้างพระมาแล้วมากครั้ง ขอความร่วมมือเพื่อจะเอาว่านยาแร่ธาตุที่ท่านสะสมไว้ สร้างเป็นรูปพระไว้แจกสมนาคุณ แก่ศิษยานุศิษย์ผู้มีจิตศรัทธารวมทุนสร้างพระวิหารอาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็ยินดีอนุโมทนาในการกุศล พร้อมด้วยมอบแร่ธาตุว่านยาผงวิเศษ 1,000 กว่าชนิด ที่ท่านเคยสะสมไว้ประสมกับว่านของอาจารย์สุภา ท่านจะสละทุกสิ่งทุกอย่างช่วยจัดการดำเนินงานให้จนเสร็จ ต่อจากนั้นอาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็เชิญวิญญาณขุนแผน ซึ่งท่านเคารพนับถืออย่างสูงในชีวิตของท่าน โดยถือเป็นวิญญาณวิเศษ เป็นเทพชั้นสูง เข้าประทับทรงเชิญเข้าร่วมกุศลวิญญาณขุนแผน ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ก็ยินดีอนุโมทนา อนุญาตให้ทำเป็นพระทรง พระขุนแผนเรือนแก้วบอกตำรา และวิธีสร้างพระตามตำราอาจารย์คง ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ที่เคยสร้างพระทรงขุนแผน
เรือนแก้วให้ท่าน ครั้งต้นสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งท่านเป็นแม่ทัพ ท่านรับรองเข้าประทับทรงเป็นประธานเข้าพิธีปลุกเสก บรรจุคุณให้มีคุณครบถ้วนตามคุณวิเศษของท่าน เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ต่อจากนั้นอาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้ไปเชิญพระอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ อายุ 74 ปี ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิความรู้ทางคุณพระ และทางไสยศาสตร์เป็นพิเศษมารวมด้วย อาจารย์อุทัยก็ยินดีอนุโมทนา และท่านอุทิศว่านยาแร่ธาตุผงวิเศษ ทำผ้ายันต์เสือ ผ้ายันต์สิงห์ ซึ่งเป็นผ้ายันต์ที่ท่านเคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว เข้าสมทบในการกุศล ท่านเข้าร่วมปลุกเสกตลอดพิธี เฒ่าแก่ยู่ลิ้น แซ่เฮง ก็ได้ขอร้องให้ไปทำที่วัดสารอด โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นวัดที่ชำรุดทรุดโทรม และกำลังอยู่ในช่วงบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่ จึงได้นำหลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล และอาจารย์ชุม ไชยคีรี ไปพบท่านอธิการชนาง เอี่ยมอุดม เจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัด ทุกคนเมื่อทราบเรื่องราวแล้วก็ยินดีร่วมมือ และให้ความสะดวกทุกประการ พิธีจึง
สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี


พระคาถาชุมนุมเทวดา ในพิธีพุทธาภิเษก วัดสารอด กลับด้านบน
สาธุ สัคเค ข้าพเจ้าขออัญเชิญ มวลเทพเจ้าซึ่งสิงสถิตย์อยู่ในฉกามาพจรสวรรค์ กาเม อยู่ในกามภพอนันต์จังหวัดวง จะรูเป เทพเจ้าดำรงอยู่ในห้วงมหรรณพสิงพรเขตยุคนธร จันตะลิกเข เทพเจ้าอันแน่นแนว อยู่ในอากาศ วิมาน อยู่ในวิมานมาศรัตมณเฑียร ทีเป เทพเจ้าอยู่ในเกาะเกียรน้อยและใหญ่รัฏเจ ข้าขออัญเชิญเทพยาดาเจ้าที่อยู่ ในแว่นแคว้นทั่วประเทศทั้งท้าวสยามเทวราชอันเรืองฤทัย ทั้งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ผู้ดำรงค์โลกราศรี ตะรุวะนะคะหะเน เทพเจ้าอยู่ในหม่ไม้ไพรพฤกษาศาล เคหะวัต ถุมหิ เขตเต เทพเจ้าอยู่ที่บ้านเรือน และไร่นา และที่พระอุโบสถนี้ภุมมา ข้าขอเชิญเทพยดาเจ้าที่อยู่ในภูมิประเทศทั่วขอบเขตจักรวาลมีพระภูมิเจ้าที่ ที่ประจำวัดสารอดเป็นประธาน ชะละถะละวิสะเม เทพเจ้าที่อยู่ในน้ำและบนบกมิได้เสมอกัน ยักขะคันทัพนาคา ทั้งยักษาคนธรรพ์นาคราชผู้เป็นใหญ่ ที่ท้าวภุชงค์พระยานาคราชกรุงบาดาล เป็นประธานดิฏฐันตาสันติเกยัง เทพเจ้าอยู่ที่เกาะแก่งแห่งตำบล มุนิวะระวะจะนัง ข้าพเจ้าขออัญเชิญพระฤๅษีทุกแห่งหนอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยปรีชา มีพระฤๅษีตาวัว พระฤๅษีตาไฟ พระฤๅษีนารอด พระฤๅษีนาไลย พระฤๅษีบัลลัยโกฏ พระฤๅษีสิงหดาบส พระฤๅษีสัจจะพันธ์คีรี พระฤๅษีมุนิดาบส พร้อมด้วยคุณครู คุณอาจารย์ คุณบิดา มารดา คุณครูปัติยาย หลวงปู่คง หลวงปู่ทวด หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า วัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง และหลวงพ่อรอดในพระอุโบสถ เจ้าพ่อแผนเป็นประธาน สาธะโวเมสุณันตุ ข้าขอเชิญเทพยดาอันเรืองเดช ซึ่งสิงสถิตย์อยู่ในอมรพิมานเมศเมืองฟ้า ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโ,อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโลอะยัมภะทันตา ข้าพเจ้าขออัญเชิญท้าวเทเวศน์สิ้นขอบเขตจักรวาลจงมาสโมสรรับเครื่องบวงสรวงสังเวย อันข้าพเจ้าได้จัดไว้พร้อมเสร็จอย่างบรรจง แล้วขอเทพยดาพร้อมด้วยคุณครูคุณอาจารย์ที่ได้อัญเชิญมารับเครื่องสังเวยทุกองค์ จงกรุณาประจำอยู่ในพิธีทำการปลุกเสกพิทักษ์รักษา ป้องกันภัยอันตรายกันศัตรูหมู่มารภายนอก มารภายใน ช่วยดลบันดาลของจิตใจ ของข้าพเจ้าทั้งสามให้มีปัญญาสามารถ เฉลียวฉลาดในการปลุกเสกบรรจุคุณ ช่วยเกื้อหนุนบัญชาให้เทพยดารักษาอยู่ประจำองค์พระทุกองค์ ที่สร้างขึ้นในพิธี ขอท้าวภุชงค์นาคราชพร้อมด้วยบริวารในกรุงบาดาล จงกรุณาส่งเสริมอิทธิปาฏิหารย์ และพุทธานุภาพจงนำพระทั้ง 108 องค์ ที่ข้าพเจ้านำไปทำพิธีอาราธนาลงในแม่น้ำ กลับคืนมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเทพารักษ์ เพื่อให้เกิดผลเป็นประจักษ์พยานปรากฏเป็นอัศจรรย์ แก่มวลเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระผงวิเศษทั้ง 84,000 องค์ ใครนำไปสักการะบูชาก็ให้ปรากฏผลเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก นึกอะไรก็ให้สมความปรารถนาทุกประการ ขอจงอยู่อย่ารู้เสื่อมคลายช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนถาวร ด้วยอำนาจบุญกุศลที่คณะข้าพเจ้าและมวลเทพยดาครูอาจารย์ช่วยกันบำเพ็ญในกาลครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยส่งให้คณะข้าพเจ้าทุกคน ตลอดถึงคุณครู คุณอาจารย์ คุณเทพยดา จงประสพความสุขความเจริญ ประสพมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ เกิดพบพระพุทธศาสนาเข้าถึง คุณพระทุกชาติ กราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ นิพพาน นะปัจจะโยโหตุ อนาคตเตกาเล ขอน้อมเกล้าถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จเจ้าฟ้า พระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์

อิทธิวัสดุที่ใช้สร้างพระชุดเสด็จกลับอย่างละเอียด กลับด้านบน
ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นอาจารย์มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาทำจิตให้สงบ แล้วนำจิตให้เขาไปพบคุณพระ พิจารณาหาทางที่จะยกเอาพระขึ้นมาเป็นที่ระลึก และกำจัดภัยในปัจจุบัน จนเข้าถึงคุณพระด้วยตนเอง แล้วมีเมตตาปรารถนา จะให้เพื่อนที่เป็นมนุษย์ที่ยังไม่รู้ และยังไม่เข้าถึงให้รู้และให้เข้าถึง เพื่อเป็นการศึกษา เป็นการปลูกศรัทธา ให้ทุกคนรักในคุณพระ เมื่อมีศรัทธารักในคุณพระ ก็ย่อมมีความปรารถนา มีความอยากได้อยากเข้าถึงคุณพระเป็นธรรมดาของมนุษย์ ส่งใดที่รักที่ปรารถนาสิ่งนั้นก็ย่อมให้เกิดความเพียรความพยายามเป็นกำลัง ก็ย่อมเข้าถึงและสำเร็จสมความปรารถนาได้ ฉะนั้นก่อนที่จะเข้าถึงคุณพระก็พบกับรูป พบกับนามเป็นบันไดขั้นแรกก็คือ รูปพระพุทธเจ้าและพระนามของพระพุทธเจ้า อาจารย์ชุม ไชยคีรี จึงนิยมสร้างรูปพระพุทธเจ้า ที่เราเรียกว่าพระเครื่องราง ชุดละ 84,000 องค์ มาหลายชุดด้วยกัน ท่านถือว่าเป็นการสร้างสมบารมี เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เอาอย่างพระอาจารย์เจ้าครั้งโบราณกาลที่เคยกระทำสืบต่อกันมา

การสร้างรูปของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายต้องประกอบด้วยองค์ 3 คือ 1.วัตถุวิเศษ 2.บุคคลวิเศษ 3.กาลวิเศษ จึงบังเกิดรูปวิเศษได้ เมื่อรูปวิเศษเกิดขึ้นแล้ว คุณวิเศษคือความขลัง และความศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมบังเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว ฉะนั้นการสร้างพระของอาจารย์ทั้งหลายและอาจารย์ชุม ไชยคีรี ทุกครั้งจึงมีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งที่ระลึกกำจัดภัยอันตรายนาๆ ชนิดแก่ผู้เชื่อและผู้เข้าถึงได้จริง ดังจะเห็นได้จากความเพียรความพยายามในการจัดหาแร่ธาตุ และว่านยาพร้อมด้วยวัตถุวิเศษ ที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี ที่เคยรวบรวมสะสมไว้ดังนี้

1. เมื่อปี พ.ศ. 2484 ได้ทำผงพระพุทธนิมิตรวมแร่ธาตุ 16 อย่าง สร้างพระโสฬธาตุที่วัดไชยมงคล จังหวัดสงขลา แจกให้ทหารของชาติครั้งสงครามอินโดจีน ประมาณ 84,000 องค์ ผงที่เหลือสะสมไว้

2. ปี พ.ศ. 2494 ทำผงนะปถมังสร้างพระผงนะปถมัง ที่วัดดอนประดู่ อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง ได้พระหย่อนกว่า 84,000 องค์ ผงที่เหลือสะสมไว้

3. ปี พ.ศ. 2496 จัดหาผงตามตำราอาจารย์คง อาจารย์ขุนแผนสร้างพระเทพนิมิตรถวาย วัดบรรพตนิมิต อำเภอเขาไชนสน จังหวัดพัทลุง 84,000 องค์ ผงที่เหลือสะสมไว้ ต้นปี พ.ศ. 2497 ได้เดินทางทั่วประเทศหาผงวิเศษจากพระหักป่น และผงกันกรุพร้อมด้วยว่าน 108 ชนิด สร้างพระผงวิเศษถวาย วัดญวณ สะพานขาวพระนคร 84,000 องค์ ในพรรษานั้น ได้รวบรวมผงทั้งหมดไปรวมกับผงว่านยาที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช สะสมไว้ ได้เชิญและนิมนต์อาจารย์ภาคใต้ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาจารย์ชุม และอาจารย์ของขุนพันธรักษ์ราชเดช จังหวัดนครศรีธรรมราชมารวมกันทำพิธีสร้างพระทีวิหารหลวง วัดพระบรมธาตุ ตลอด 3 เดือน ได้พระทั้งหมด 84,000 องค์ พร้อมเงิน 118,688 บาท ถวายให้เป็นสมบัติพระบรมธาตุ ผงที่เหลือสะสมไว้ ปี พ.ศ. 2498 สร้างพระปางประธานพรถวายวัดเวฬุราชิน ธนบุรี 84,000 องค์ และสร้างพระเทพนิมิต เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อสัมฤทธิ์ ที่วัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี นำไปแจกบูรณะพระเจดีย์ บรรจุบรมธาตุ ที่วัดไชยมงคล จังหวัดสงขลา หลังจากนั้นก็ได้รับเชิญไปร่วมสร้างพระในพิธีต่างๆ หลายพิธี มาเมื่อเดือนเมษายน 2506 รวบรวมว่านยาแร่ธาตุที่เคยทำและสะสมไว้ทั้งหมดไปรวมสร้าง พระผงสมเด็จหลวงพ่อดำ หลวงพ่อขาว ที่วัดเสน่หา นครปฐม ประมาณ 84,000 องค์ เพื่อเป็นการสร้างครั้งสุดยอด อาจารย์ชุม ไชยคีรี จึงได้
รวบรวมผงว่านยา แร่ธาตุ ที่มีอยู่ และผงที่สร้างพระ ที่วัดเสน่หามารวมกับผงว่านยาแร่ธาตุที่อาจารย์สุภา กนฺตสีโล ได้รวบรวมไว้ดังกล่าวแล้วข้างต้น สรุปแล้วแยกเป็น 9 ประเภทดังนี้
ส่วนผสมของการสร้างพระเสด็จกลับ ประกอบด้วย ว่านยา แร่ธาตุวิเศษ 9 ประเภท ดังนี้

1. ว่านยา 108 ชนิด เจาะจงเอาที่มีคุณวิเศษแต่ละอย่างไม่ซ้ำกัน ซี่งรวมทั้ง ว่านทั้ง 7 ชนิดพิเศษของ
หลวงปู่สุภา ที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมและหาได้ยาก
2. ดอกไม้ 108 ชนิด มีชื่อไม่ซ้ำกัน (ดอกว่านขันหมากเงิน ขันหมากทอง ขาดไม่ได้)
3. ดินสังเวชนียสถานทั้งสี่
4. ดอกไม้ที่พระสงฆ์ขอขมาโทษซึ่งกันและกัน วันเข้าพรรษาเฉพาะวัดที่มีชื่อเป็นมงคลทั่วประเทศวัน
เดียว 108 วัด
5. ดอกไม้ที่ประชาชนนำไปบูชาพระประธาน ในพระอุโบสถ วันจตุรงคสันนิบาต (วันมาฆบูชา) 108
วัด เริ่มเก็บได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกแล้วจนถึงเที่ยงคืน นำมาให้ถึงที่เดียวกันในคืนนั้น
6. น้ำในมหานที 9 สาย และน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ อายุ 1,000 กว่าปี
7. ตะใคร่น้ำที่พระบรมมหาเจดีย์ 9 แห่ง
8. ดินโป่ง 9 แห่ง
9. แร่ธาตุ 9 ชนิด คือ 1.แร่จักรนารายณ์ 2.แร่สังฆวานร 3.แร่ดีบุก 4.แร่ตะกั่วเถื่อน 5.แร่พลวง 6.แร่
เหล็กไหล 7.แร่หงอนไก่เหลือง 8.แร่วิเศษ 400 กว่าปี 9.ผงวิเศษกันกรุ วัดขวิด สุพรรณบุรี
ว่านวิเศษ 108 ชนิด

1. ว่านจักรนารายณ์ 55. ว่านพระฉิม
2. พญาว่าน 56. ว่านสามหวายไม่แตก
3. ว่านท้าวมหาพรหม 57. ว่านเณรแก้ว
4. ว่านพระตะบะ 58. ว่านนางพญา
5. ว่ามหานิยม 59. ว่านพิชัยดาบหัก
6. ว่านเพชรกลับ 60. ว่านอีโต้ดาบหัก
7. ว่านเสน่ห์จันทร์ทอง 61. ว่านกลิ้งกลางดง
8. ว่านเสือโคร่ง 62. ว่านพระยาหงษ์ทอง
9. ว่านเพชรสังฆาต 63. ว่านสบู่เลือดอย่างขาว
10. ว่านหนุมานยกทัพ 64. ว่านจอมมฤคคา
11. ว่านหนุมาน 65. ว่านสบู่หยวก
12. ว่านหนุมานนั่งแท่น 66. ว่านแร้งคอดำ
13. ว่านดาบหัก 67. ว่านขันหมากเงิน
14. ว่านม้าเหาะ 68. ว่านขันหมากทอง
15. ว่านร่อนทอง 69. ว่านวันทองห้ามทัพ
16. ว่านพระยาช้างเผือก 70. ว่านฉัตรพระพรหม
17. ว่านทิพยเนตร 71. ว่านช้างงาอ่อน
18. ว่านสามพันตึง 72. ว่านสารพัดพิษ
19. ว่านกระบี่ทอง 73. ว่านพระเจ้าห้าองค์
20. ว่านพระยาไม้ผุ 74. ว่านหน้าทั่งตัวผู้
21. ว่านนางคำ 75. ว่านหนุมานเดินดง
22. ว่านมหาระงับ 76. ว่านแมวซาง
23. ว่านปราบสี่ทิศ 77. ว่านตาลปัตรฤๅษี
24. ว่านแม่โพสพ 78. ว่านเพชรน้อย
25. ว่านเสือร้องไห้ 79. ว่าเพชรหึง
26. ว่านนะโมพุทธายะ 80. ว่านหนังแห้งตัวเมีย
27. ว่านพังพอนไฟ 81. ว่านเขียวมรกต
28. ว่านลูกล้อมแม่ 82. ว่านปราบพระนคร
29. ว่านครอบจักรวาฬ 83. ว่านคันทมาลา
30. ว่านกุมารทอง 84. ว่านขามเครือ
31. ว่านเพชรหลีก 85. ว่านพระยาลิ้นดำ
32. ว่านนารายณ์แปลงรูป 86. ว่านหอกหัก
33. ว่านหอมดำ 87. ว่านขุนแผนสะกดทัพ
34. ว่านทองคำ 88. ว่านสมเด็จนางพญา
35. ว่านขุนแผน 89. ว่านมหาเสน่ห์
36. ว่านขอทอง 90. ว่านหนังแห้ง
37. ว่านหอมเสน่ห์จันทร์ 91. ว่านนางคุ้ม
38. ว่านพญาลิ้นงู 92. ว่านแสงอาทิตย์
39. ว่านช้างประสมโขลง 93. ว่านนิลพัตร
40. ว่านพฤหัสบดี 94. ว่านพระจันทร์
41. ว่านพระยาหน้าศึก 95. ว่านกระชายดำ
42. ว่านนางล้อมฯ 96. ว่านชัยมงคล
43. ว่านเสน่ห์จันทร์ก้านแดง 97. ว่านคางคกเหล็ก
44. ว่านนางกวัก 98. ว่านหน้าทั่งตัวเมีย
45. ว่านกะทู้เจ็ดแบก 99. ว่านรางจืด
46. ว่านขมิ้นขาว 100. ว่านขาใหญ่
47. ว่านมหาเมฆ 101. ว่านหนังเหนียว
48. ว่านสีหมอกม้า 102. ว่านพนักทอง
49. ว่านน้ำแห้งตัวเมีย 103. ว่านไพลดำ
50. ว่านเสน่ห์จันทร์ก้านเขียว 104. ว่านหัวเดียว
51. ว่านดอกทอง 105. ว่านลิ้นมังกร
52. ว่านลิงดำ 106. ว่านสบู่ตัน
53. ว่านพระอาทิตย์ 107. ว่านกงจักรพระอินทร์
54. ว่านสบู่ทอง 108. ว่านนางรำ

ดอกไม้ต่างชื่อ ต่างสี 108 ชนิด

1. ดอกว่านขันหมากเงิน 55. ดอกเฟื่องฟ้า
2. ดอกว่านขันหมากทอง 56. ดอกเสี่ยงทาย
3. ดอกปทุมบัวหลวง 57. ดอกแจ่มจันทร์
4. ดอกชัยพฤกษ์ 58. ดอกมะเขือพวง
5. ดอกพิกุล 59. ดอกกะถินพิมาน
6. ดอกบุญนาค 60. ดอกแจง
7. ดอกสาระภี 61. ดอกทุ้งฟ้า
8. ดอกกาหลง 62. ดอกจานแดง
9. ดอกหญ้าเจ้าชู้ 63. ดอกบานบุรี
10. ดอกจำปา 64. ดอกแพงพวยฝรั่ง
11. ดอกจำปี 65. ดอกกล้วยไม้ดิน
12. ดอกบัวสวรรค์ 66. ดอกเฟื่องชมภู
13. ดอกเสือหมอบ 67. ดอกรักแดง
14. ดอกยูงทอง 68. ดอกว่านหางกระรอก
15. ดอกราชาวดี 69. ดอกทองอุไร
16. ดอกราตรี 70. ดอกเข็มขาว
17. ดอกพิกุลทอง 71. ดอกสุคนธรส
18. ดอกยี่โถ 72. ดอกเข็มแดง
19. ดอกทองกวาว 73. ดอกรักเร่
20. ดอกมะลิวัลย์ 74. ดอกดาวเรือง
21. ดอกผกามาส 75. ดอกบานชื่น
22. ดอกซ่อนกลิ่น 76. ดอกดาวกระจาย
23. ดอกว่านลิ้นมังกร 77. ดอกเข็มชมภู
24. ดอกลั่นทม 78. ดอกนางแย้ม
25. ดอกชงโค 79. ดอกเการัก
26. ดอกเบญจมาส 80. ดอกแพงพวยบก
27. ดอกทรงบาดาล 81. ดอกอโศก
28. ดอกกระดังงา 82. ดอกแคทราย
29. ดอกพุทธรักษา 83. ดอกคณฑีสอ
30. ดอกเข็มเหลือง 84. ดอกผกากรอง
31. ดอกบานไม่รู้โรย 85. ดอกทองพันชั่ง
32. ดอกชบา 86. ดอกมะลิซ้อน
33. ดอกแก้ว 87. ดอกพุทราซ้อน
34. ดอกคัดเค้า 88. ดอกการะเกด
35. ดอกสาวหยุด 89. ดอกชุมเรียง
36. ดอกพุทธชาติ 90. ดอกทับทิมทอง
37. ดอกพุดซ้อน 91. ดอกถั่วหนัง
38. ดอกหงอนไก่ 92. ดอกกรรณิกา
39. ดอกรัก 93. ดอกว่านเศรษฐี
40. ดอกรักซ้อน 94. ดอกฝ้าย
41. ดอกว่านเสี่ยงโชค 95. ดอกดาบนารายณ์
42. ดอกกล้วยไม้เขา 96. ดอกลำเจียก
43. ดอกปทุมบัวขาว 97. ดอกทองหลางน้ำ
44. ดอกยูงเล็ก 98. ดอกปีกนกกระทา
45. ดอกชำมนาด 99. ดอกฤๅษีผสม
46. ดอกสร้อยทอง 100. ดอกฉัตรมงคล
47. ดอกมะลิลา 101. ดอกทานตะวัน
48. ดอกมหาวงษ์ 102. ดอกกระถินบ้าน
49. ดอกชวนชม 103. ดอกอินทนิล
50. ดอกว่านงาช้าง 104. ดอกเข็มเศรษฐี
51. ดอกกุหลาบ 105. ดอกราชพฤกษ์
52. ดอกกินติ 106. ดอกนางตามชู้
53. ดอกเขี้ยวแตก 107. ดอกอย่าลืมฉัน
54. ดอกแคฝรั่ง 108. ดอกรักไม่ลืม

 

ดอกไม้ วันจตุรงคสันนิบาต 108 วัด

1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 55. วัดราชโอรส
2. วัดบวรนิเวศวิหาร 56. วัดนางรอง
3. วัดราชบพิธ 57. วัดหนัง
4. วัดมกุฏกษัตริย์ 58. วัดอัปสรสวรรค์
5. วัดเบญจมบพิตร 59. วัดจันทาราม
6. วัดพระเชตุพน 60. วัดสุขาราม
7. วัดสระเกศ 61. วัดใหญ่ศรีสุพรรณ
8. วัดโสมนัสวิหาร 62. วัดอินทาราม
9. วัดราษร์บูรณะ 63. วัดบางไส้ไก่
10. วัดบพิธภิมุข 64. วัดสังข์กระจาย
11. วัดชัยชนะสงคราม 65. วัดราชสิทธิราม
12. วัดสัตตาราม 66. วัดหงษ์
13. วัดปรินายก 67. วัดอรุณ
14. วัดสุนทรธรรมทาน 68. วัดเครือวัลย์
15. วัดตรีทศเทพ 69. วัดนาคกลาง
16. วัดราชนัดดา 70. วัดพระยาทำ
17. วัดเทพธิดา 71. วัดอัมรินทร์
18. วัดมหรรณ์ 72. วัดฉิม
19. วัดบูรณะศิริ 73. วัดวิเศษการ
20. วัดสุทัศน์ 74. วัดระฆังโฆสิตาราม
21. วัดราชประดิษฐ์ 75. วัดช่องลม
22. วัดราชผาติการาม 76. วัดละครทำ
23. วัดบรมนิวาส 77. วัดชิโนรส
24. วัดปทุมคงคา 78. วัดชนะสงคราม
25. วัดสัมพันธ์วงศ์ 79. วัดอินทรวิหาร
26. วัดกันมาตุยาราม 80. วัดมหาธาตุ
27. วัดไตรมิตร 81. วัดประยุรวงศาวาส
28. วัดดวงแข 82. วัดกัลยาณมิตร
29. วัดชัยมงคล 83. วัดดงมูลเหล็ก
30. วัดชำนิหัตการ 84. วัดเสน่หา นครปฐม
31. วัดสระบัว 85. วัดพระปฐมเจดีย์
32. วัดราชาธิวาส 86. วัดไผ่ล้อม
33. วัดนรนารถ 87. วัดพระงาม
34. วัดเทวราชกุญชร 88. วัดท่าตำหนัก
35. วัดสังเวช 89. วัดทัพหลวง
36. วัดพลับพลาไชย 90. วัดธรรมศาลา
37. วัดคณิกาผล 91. วัดกลางบางแก้ว
38. วัดมหาพฤฒาราม 92. วัดพระประโทน
39. วัดแก้วฟ้าล่าง 93. วัดสรรเพชร
40. วัดหัวลำโพง 94. วัดพระทรง เพชรบุรี
41. วัดสามพระยา 95. วัดมหาสมณาราม
42. วัดอนงคาราม 96. วัดสนามพรหมณ์
43. วัดปุบผาราม 97. วัดลาด
44. วัดพิชัยยาติการาม 98. วัดคงคาราม
45. วัดหิรัญรูจีวรวิหาร 99. วัดป้อม
46. วัดทองนพคุณ 100. วัดยาง
47. วัดทองธรรมชาติ 101. วัดข่อย
48. วัดขุนจันทร์ 102. วัดสัตตนาถปริวัติ
49. วัดนวลนรดิษฐ์ 103. วัดสีชมภู
50. วัดปาน้ำภาษีเจริญ 104. วัดพลับ เพชรบุรี
51. วัดเวฬุราชิน 105. วัดห้วยจระเข้
52. วัดราชคฤห์ 106. วัดตุ๊กตา
53. วัดเสวตฉัตร 107. วัดชีประเสริฐ
54. วัดโพธิ์นิมิตร 108. วัดศรีสุริวงศ์

น้ำในมหานที 9 สาย
1. แม่น้ำโขง
2. แม่น้ำปิง
3. แม่น้ำวัง
4. แม่น้ำยม
5. แม่น้ำน่าน
6. แม่น้ำมูล
7. แม่น้ำเจ้าพระยา
8. แม่น้ำท่าจีน
9. แม่น้ำตานี
ตะใคร่น้ำ ที่พระบรมมหาเจดีย์ 9 แห่ง
1. พระบรมธาตุ นครปฐม
2. พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
3. พระบรมธาตุ นครพนม
4. พระบรมธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
5. พระบรมธาตุ ลำปาง
6. พระบรมธาตุ สุโขทัย
7. พระบรมธาตุ จอมทองลำพูน
8. พระบรมธาตุชะเวดากอง ประเทศพม่า
9. พระบรมธาตุหงษารามัญ
ดินโป่ง 9 แห่ง
1. ดินโป่งรางกระถิน
2. ดินโป่งหน้าเขาพิศดง
3. ดินโป่งมักเม้า
4. ดินโป่งใหญ่ในป่าลึก จังหวัดกาญจนบุรี
5. ดินโป่งพุล้อ
6. ดินโป่งหลังเขาพิศดง
7. ดินโป่งทำโข่ง
8. ดินไมยราพ
9. ดินโป่งชุมนุมตาโหงพราย
น้ำพระพุทธมนต์ และน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่นำมาประสมว่านยา
1. น้ำมนต์หลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้ว จ.ชุมพร
2. น้ำมนต์พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
3. น้ำมนต์หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน นครศรีธรรมราช
4. น้ำมนต์บนเขา สมเด็จปู่เจ้าเกาะไชโย สงขลา
5. น้ำมนต์หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ปัตตานี
6. น้ำมนต์ในสระศักดิ์สิทธิ์ เพชรบุรี
7. น้ำพระพุทธมนต์ 25 ศตวรรษ ท้องสนามหลวง
8. น้ำพระพุทธมนต์ 100 ปี ของวัดบวรนิเวศวิหาร
9. น้ำพระพุทธมนต์ ที่พระบรมธาตุนครพนม
10. น้ำพระพุทธมนต์ ในพระอุโบสถ วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
11. น้ำในสระศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั่วประเทศ มี สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกศ สระพังเงิน สระพัง
ทอง สุพรรณบุรี สระน้ำจันทร์นครปฐม เป็นต้น
12. น้ำพระพุทธมนต์ ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
13. น้ำพระพุทธมนต์ในวังหลวง 170 ปี
14. น้ำพระพุทธมนต์ในวันทำสังคายนาประเทศพม่า ซึ่งพระเถระทั่วโลก 2,500 องค์ ประชุมกัน
ขี้เถ้าธูปศักดิ์สิทธิ์
1. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์หินช้าง จ.ชุมพร
2. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์เข้าพับผ้า พัทลุง
3. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์ หลักเมืองสงขลา
4. ขี้เถ้าธูปศาลเทพารักษ์ หลักเมืองปัตตานี
5. ขี้เถ้าธูปศาลสมเด็จปู่เจ้า เกาะไชโย (เกาะยอ) สงขลา
6. ขี้เถ้าธูปสมเด็จหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ปัตตานี
7. ขี้เถ้าธูปที่บูชาพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
8. ขี้ธูปศาลเจ้าพ่อประสาททอง องค์พระปฐมเจดีย์
9. ขี้ธูปศาลเจ้าพ่อเขางู ราชบุรี (พระฤๅษีสมาธิคุปต์)
ผงวิเศษ ได้จากที่ต่างๆ
1. ผงว่านวิเศษของหลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้ว จ.ชุมพร
2. ผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง โฆสิตาราม ผงพระพุทธคุณ 1 ผงอิทธเจ ผงปถมัง
1 ผงมหาราช 1 ผงตรีนิสังเห 1
3. ผงว่านวิเศษของท่านพระครูรักขิตวันมุนี วัดป่าเลไลย์ ให้มา
4. ผงวิเศษในถ้ำพระยาแร้งสมัยศรีวิชัย ท่านเจ้าคุณพระศีลศารโสภณ จ.ตรัง ให้มา
5. ผงพระป่นสมัยทวาราวดีที่องค์พระประโทน
6. สะเก็ดพระบรมธาตุนครพนม ท่านเจ้าคุณพระเทพรัตนโมฬี ให้มา
7. ผงพระหักป่นสมัยทวาราวดี นายณรงค์ สุปัญญรักษ์ ให้มา
8. ผงพระกันกรุ สมัยทวาราวดี นายอุทัย ให้มา
9. ผงผสมของอาจารย์ 108 องค์ ของ พระครูรักขิตวันมุนี ให้มา
10. ผงพระธราราชกับผงพระคาถาชินบัญชร ของ พระเทพ ปียวฑโณ ให้มา
11. ผงผสมของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี ท่านเจ้าคุณวรพรต คณาจารย์ ให้มา
ดินที่สังเวชนีย์สถาน 4 ตำบล
1. ที่ประสูติ
2. ที่ตรัสรู้
3. ที่แสดงพระธรรมจักร
4. ที่นิพพาน
จากท่านอาจารย์คง วัดบ้านสวน จ.พัทลุง ไปนำมาจากประเทศอินเดีย
ผงวิเศษ 108 กรุ ที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี จัดหาด้วยตัวท่านเอง

1. ผงกระดูกอาจารย์เกตุ วัดขวิด 55. ผงพระเนื้อชินอ่อน วัดหูช้าง
2. ผงอาจารย์คง อาจารย์ของขุนแผน วัดตาลฯ 56. ผงพระเนื้อชิน วัดคลองเป็ด
3. ผงแดงหุ่นพยนต์ อาจารย์เกตุ วัดขวิด 57. ผงพระหักป่นวิหารพระร่วง
4. ผงดำหุ่นยนต์ อาจารย์เกตุวัดขวิด 58. ผงสมเด็จนางพญาสีดำ วัดนางงำระยา
5. ผงเขียวเนื้อชิน อาจารย์เกตุ วัดขวิด 59. พระเนื้อดิน เนื้อชิน วัดลั่นทม ได้จาก จ.นครศรีธรรมราช 10 กรุ
6. ผงผสมแร่ธาตุก้นกรุอาจารย์เกตุ วัดขวิด 60. ผงพระคัมภีร์พระไตรปิฎก วัดพระมหาธาตุ
7. ผงพระประธานอาจารย์คลิ้ง วัดโสภา 61. ผงพระพระพวย วัดพระมหาธาตุ
8. ผงพระมหานิยมในเจดีย์วัดโลกา 62. ผงตะไคร่พระเจดีย์ทุกองค์ วัดพระมหาธาตุ
9. ผงยาวัดดอนไก่เตี้ย 63. ผงตะไคร่พระด้านทุกองค์ วัดพระมหาธาตุ
10. ผงพระเนื้อชิน วัดกุฏิสงฆ์ 64. ผงตะไคร่พระศรีมหาโพธิ์ วัดพระมหาธาตุ
11. ผงขุนแผน เนื้อดินเผา วัดบ้านกร่าง 65. ผงพระหักป่น วัดท่าเรือ
12. ผงพระพลายเพชร พลายบัว วัดบ้านกร่าง 66. ผงพระดินเผา วัดนางตรา
13. ผงขุนแผนไข่ผ่าซีก วัดสุวรรณภูมิ 67. ผงอิฐพระเจดีย์ วัดท่าเรือ
14. ผงเนื้อชิน วัดพระธาตุ 68. ผงวัดท้าวโคตร
15. ผงก้นกรุอาจารย์คง วัดตาล 69. ผงว่าน 108 ของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้จากกรุจังหวัดเพชรบูรณ์ (7 กรุ)
16. ผงกระดูกอาจารย์คง วัดตาล 70. ผงดินพระหักป่นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
17. ผงไม้มะกอกอาจารย์คง วัดตาล 71. ผงดินพระหักป่น วัดเสือ
18. ผงพระหักป่น วัดตาล 72. ผงดินพระหักป่น วัดช้างเผือก
19. ผงพระดินก้นกรุ วัดไทร 73. ผงดินพระหักป่น วัดพระแก้ว
20. ผงพระเนื้อชิน วัดมหาธาตุ 74. ผงดินพระหักป่น วัดหลวงพ่อกบ
21. ผงพระดินเผานาคปรก วัดมหาธาตุ 75. ผงดินพระหักป่น วัดมหาธาตุ
22. ผงพระดินเผา แบบโมคคัล ลาสาริบุตร วัดมหาธาตุ 76. ผงดินพระหักป่น วัดสิงห์ ได้จากกรุ จ.พัทลุง 7 กรุ
23. ผงพระดินเผา แบบพระ 55 วัดมหาธาตุ 77. ผงดินดิบสมัยศรีวิชัย ถ้ำคูหาสวรรค์
24. ผงอิฐคนโบราณในเจดีย์วัดมหาธาตุ 78. ผงอิฐเจของท่านพระครูสิทธิยาถิรัตน์วัดดอนศาลา อาจารย์เฒ่าวัดเขาอ้อ
25. ผงพระหักป่น กรุวัดพายหลวง 79. ผงพระหักป่น วัดเขาเจียก
26. ผงพระหักป่น กรุวัดมังกร 80. ผงดินทองถ้ำ เขาไชยสน
27. ผงพระหักป่น กรุวัดศรีชุม 81. ผงกระดูกคนโบราณ ในถ้ำเขาไชยสน
28. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดิน วัดหินทัง 82. ผงดินดิบสมัยศรีวิชัย ถ้ำอกทะลุ
29. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินวัดปากทัง 83. ผงถ้ำยาหอม เขาไชยสน ได้จากกรุ จ.ลำพูน 5 กรุ
30. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินหลวงพ่อโตวัดป่าม่วง 84. ผงพระรอด วัดพระรอด
31. ผงพระเนื้อชินดิน วัดเขาตะพานหิน 85. ผงพระสิบสอง วัดพระธาตุ
32. ผงพระเนื้อดินเผา วัดช้างล้อม 86. ผงพระสาม วัดพระธาตุ
33. ผงพระดินเผาวัดป่ากล้วย 87. ผงพระเปิม วัดพระธาตุ
34. ผงพระดินเผาวัดป่ามะขาม 88. ผงพระหักป่น วัดทับยั๋น และจังหวัดต่างๆ 18 กรุ รวม 108 กรุ
35. ผงพระเนื้อชิน วัดป่าหญ้ากร่อน 89. ผงพระสมัยทวาราวดี วัดพระประโทน นครปฐม
36. ผงพระอิฐพราหมณ์ วัดศรีสวาย ได้จาก จ.พิษณุโลก 17 กรุ 90. ผงเนื้อชิน วัดพระพิโทน
37. ผงพระเนื้อชิ้น เนื้อดินวัดเชตุพน 91. ผงโทนพราหมณ์ สมัยทวาราวดี นครปฐม
38. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดิน วัดดินดำ 92. ผงพระดินดิบ สมัยศรีวิชัย ถ้ำเขาสาย จังหวัดตรัง
39. ผงพระดินเผา วัดดอนลาม 93. ผงพระดินดิบ สมัยศรีวิชัยถ้ำคีรีวิหาร จังหวัดตรัง
40. ผงพระดินเผาชินราช วัดโบสถ์ 94. ผงสมเด็จวัดระฆัง ธนบุรี
41. ผงพระดินเผา วัดโป่งพยอม 95. ผงอิทธิเจ วัดหิรัญรูจี ธนบุรี
42. ผงพระเนื้อชิน เผาแบบนางพญา วัดต้นจันทร์ 96. ผงเนื้อดิน เนื้อชิน วัดบึงสัมพันธ์ อุตรดิตถ์
43. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินเผาเนื้อทองเหลือง วัดปากน้ำ 97. ผงทองแท่น วัดพระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์
44. ผงพระเนื้อดินเผา วัดสตือ 98. ผงในเจดีย์ ดอยสุเทพ เชียงใหม่
45. ผงพระเนื้อดินเผา วัดจุฬามณี 99. ผงพระหักป่น วัดพระปรางสวรรคโลก
46. ผงพระเนื้อดินเผา วัดปราง 100. ผงดินเผากำแพงเพชร
47. ผงพระเนื้อดินเผา มีแร่ธาตุ วัดไก่เตี้ย 101. ผงดินเนื้อชิน วัดมะละกอ พิจิตร
48. ผงพระเนื้อชิน ดินเผา วัดปะขาวหาย 102. ผงพระหูยานหน้ายักษ์ หลวงพ่อจุก ลพบุรี
49. ผงพระเนื้อดิน วัดวิหารทอง 103. ผงสมเด็จวัดอินทร์ พระนคร
50. ผงพระเศียรหักพระหัก วัดพระพุทธชินราช 104. ผงนะปถมัง วัดบางแพรกใต้ นนทบุรี
51. ผงพระสมเด็จนางพญาสีขาว วัดนางพญา 105. ผงดอกไม้ 108 วัด
52. ผงพระเนื้อดินเผา วัดเจดีย์ทอง 106. ผงพญาว่านมหาว่าน ของอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง
53. ผงพระเนื้อดินเผา วัดประตูชัย 107. ผงพระเทพนิมิต ของอาจารย์ชุม ไชยคีรี
54. ผงพระเนื้อชิน เนื้อดินเผาเนื้อว่าน วัดอรัญญิก

สิ่งของที่ต้องเตรียมพร้อม เมื่อจะทำพิธีบวงสรวงสังเวยวันเริ่มต้นพิมพ์พระ และวันเริ่มต้นพุทธาภิเษก

1. ราชวัตรแผงทาสีขาว ยาว 1-2 เมตร 21. อ้อยเอาทั้งใบ 12 ต้น
2. ฉัตรระบายขาว 9 ชั้น สูง 2 เมตรครึ่ง ส่วนล่างยาว 1 เมตร 20 เซ็นต์ 22. ถั่วงาคั่วอย่างละจาน
3. เทียนชัยขี้ผึ้งดี หนัก 80 บาท ไส้เทียน 80 เส้นสูงเสมอศรีษะประธาน 23. ข้าวปากหม้อ 1 ชามใหญ่
4. เทียนขี้ผึ้งดีหนัก 1 บาท ยาว 1 คืบ 50 เล่ม 24. ข้าวเหนียว 1 ชามใหญ่
5. ธูปหอม 1,000 ก้าน 25. สมโอ 2 ผล
6. เทียนมงคลยาวรอบศรีษะ ไส้เท่าอายุประธาน 32 เล่ม ขี้ผึ้งหนัก 5 บาท 26. สมเขียวหวาน 2 จาน
7. เทียนเงิน เทียนทอง 4 คู่ ขี้ผึ้งหนัก 1 บาท ใส้ 16 เส้น ยาว 12 นิ้ว 27. น้ำจิ้มหัวหมู 1 ถ้วย
8. เทียนขี้ผึ้งธรรมดาขนาดเล็ก 220 เล่ม 28. น้ำพริกเผา 6 ถ้วย
9. ผ้าขาวนุ่งห่ม 2 ชุด 29. หมาก พลู บุหรี่ อย่างละ 9 รวม 2 พาน
10. ตู้เทียนไชย 1 ตู้ 30. ต้นกล้วยต้นงามๆ สูงเสมอหัว ขุดทั้งหัว 12 ต้น
11. ผ้าขาวยาวประมาณ 2 ตารางเมตรครึ่ง 2 ผืนสำหรับปูโต๊ะบูชา 31. หญ้าคา 3 กำ
12. หัวหมู 2 หัว 32. สายสิญจน์ซื้อใหม่ 2 กลุ่ม
13. ไก่ 2 ตัว 33. น้ำชาจีนอย่างดี 1 กาใหญ่
14. เป็ด 2 ตัว 34. น้ำดื่ม 2 ขวด ถ้วยแก้ว 2 ใบ ช้อนส้อม 1 คู่
15. ปลาช่อนแป๊ะซะ 2 ตัว 35. ดอกไม้ประดับแจกัน 8 คู่
16. กล้วยน้ำไทย 4 หวี 36. ดอกมะลิ 2 ลิตร
17. มะพร้าวอ่อน 2 ลูก 37. บายศรีใหญ่ 5 ชั้น 1 คู่
18. ขนมต้มแดง ต้มขาว อย่างละชามใหญ่ 38. บายศรีกลาง 1 ชั้น 1 คู่
19. ไข่ไก่ต้ม 10 ฟอง 39. บายศรีปากชาม 1 คู่
20. ปูทะเล 2 ตัว

สิ่งของทั้งหมดต้องนำมาส่งพร้อม และจัดเสร็จก่อนฤกษ์ประมาณ 30 นาที

รายละเอียดว่าน 7 ชนิดสุดวิเศษ ของหลวงปู่สุภา กลับด้านบน
ว่านที่ท่านอาจารย์หลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล พยายามสะสมไว้ประมาณสามสิบกว่าปี มีประมาณ 100 กว่าชนิด ซึ่งมีชื่อตรงกันกับที่ท่านอาจารย์ชุม สะสมไว้ทุกอย่างจึงไม่กล่าวในที่นี้ นำมากล่าวในที่นี้แต่เฉพาะว่านที่มีคุณภาพอย่างยอดเยี่ยม และหายากไม่มีในประเทศไทย ซึ่งบางอย่างท่านได้ลงทุนซื้อ ราคาเป็นหมื่นบาท เช่น
1. ว่านกระจายหัวควาย ว่านชนิดนี้ ทางประเทศลาว เรียกว่า กระจายหัวควาย ทางประเทศไทยเราเรียกว่า พญาว่าน ว่านนี้ท่านได้ลงทุนซื้อ จากเจ้าของเขาที่นำมาเลี้ยงไว้เป็นเงินหนึ่งหมื่นบาท ลักษณะหัวลำต้นและใบคล้ายต้นกล้วยญวน แต่มีใบเพียงสามใบเท่านั้น ก่อนที่จะไปเอาต้องบวงสรวงสังเวยก่อนจึงจะเข้าไปเอาได้ หากยังมิได้บวงสรวงสังเวย เข้าไปเอามีอันตรายถึงกับเสียชีวิต ว่านนี้ตามตำรามีเทวดารักษา วิเศษใช้ได้ทุกทาง
2. ว่านกินเหล็ก ว่านกินเงิน ว่านกินทอง ว่านกินกระดาษ ว่านกินข้าวตอกแตก 5 อย่างนี้ ก่อนที่จะเข้าไปเอา จะต้องให้กินเหล็ก เงิน ทอง กระดาษ ข้าวตอก จนอิ่ม โดยให้เอาของที่เลี้ยงจี้และทิ้งเข้าไปที่หัวว่าน ว่านกินจนกระทั่งของที่เราเอาไปเลี้ยงนั้นละลายหายไปหมดแล้ว จึงเข้าไปเอาได้ ไม่เช่นนั้นอันตราย ว่านชนิดนี้มีวิเศษทุกทาง เพราะมีรุกขเทวดารักษา ต้องทำพิธีบวงสรวงสังเวยให้กินของที่ต้องการปีละครั้ง
3. ว่านเพชรกลับ ว่านชนิดนี้มีสองชื่อ คือทางประเทศลาว เรียกว่า ว่านน้ำ ทางประเทศไทยเรียกว่า ว่านเพชรกลับ เพราะว่านชนิดนี้ เวลาปลูกต้องใช้กระทงสามเหลี่ยม แล้วเอาดินมา
ใส่กระทงให้เต็ม แล้วเอาหัวว่านนั้นปลูกลงในกระทง แล้วอธิษฐานให้ปล่อยไปตามน้ำ เมื่อถึงเวลาครบรอบปีเราต้องการจะเอาขึ้น ก็ต้องทำพิธีเช่นเดียวกัน แล้วหนีไปให้ห่างสักครู่หนึ่ง
แล้วย้อนกลับมาดูจะปรากฏว่า ว่านนั้นกลับมาอยู่ในกระทง ลำต้นและใบแห้งปรากฏเหมือนกับว่านที่เราปลูกที่บ้านของเราตามธรรมชาติ คุณวิเศษตามตำรา เมื่อนำติดตัวเรา เราจะ
ต้องได้กลับมาบ้าน โดยไม่ไปตายนอกบ้าน กันอาวุธอุปัทวเหตุนาๆ ชนิด
4. ว่านสบู่เลือด ว่านนี้ตามธรรมดาที่ประเทศไทยเรา มีผู้สนใจเอามาปลูกกันไว้มีมากเหมือนกันแต่ก็ปรากฏว่าไม่เหมือนกับที่ท่านได้เอามาจากประเทศลาว ว่านสบู่เลือดที่ท่านนำมานี้มี
ลักษณะ มีลำต้น และหัวๆ เดียวจนตลอดไป โดยมากผู้ที่มีว่านชนิดนี้จะต้องเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมาก ใบของมันสีแดงเหมือนกับเลือด มีใบคล้ายใบข้าว และมีเฉพาะสามใบเท่านั้น จะปลูกไว้กี่ปีก็ตาม มีเพียงสามใบเท่านั้น วิเศษในทางลาภและคงกระพัน
5. ว่านไพลดำ ที่ในประเทศไทย ที่เราได้ยินได้เห็นกันนั้นมิใช่เป็นไพลดำที่แท้จริง ส่วนว่านไพลดำที่ท่านนำมานี้หาได้ยากที่สุด เพราะว่าดำทั้งหัวและดำทั้งใบ ว่านชนิดนี้เมื่อปลูกแล้วดินในบริเวณนั้นก็จะดำ และจะเอาอะไรไปขุดหรือตัดหัวของมันไม่ขาด เสียมก็ขุดไม่เข้า ต้องมีผู้เข้าใจในเรื่องว่านจึงจะเอาได้ และฝนตกน้ำลาดไปถึงไหนก็ดำไปถึงนั้น วิเศษทางคงกระพันและทำให้เกิดตาทิพย์
6. ว่านนางกวัก ทำยากที่สุด คือ จะเอาหัว หรือใบ อย่างที่เข้าใจกันนั้นไม่ได้ ถ้าเราต้องการเราต้องไปตกลงกับเจ้าของว่าจะเอาสักเท่าไร สมมติว่าจะเอาให้มาก จะต้องบอกเจ้าของว่า เอาสักร้อยบาท เมื่อเจ้าของเอามือเด็ดที่ปลายใบ ยางของมันก็จะหยดลงมาเพียงร้อยหยดเท่านั้น ถ้าจะเอาอีกก็ต้องเพิ่มเงินให้เขาอีก ถ้าไม่เพิ่มมันก็ไม่ย้อย และโดยมากต้องมีอยู่ตาม
ภูเขา เมื่อจะไปเอาต้องไปบริกรรมแผ่เมตตาจิตอยู่อย่างน้อย 15 วัน จึงจะได้ของมา วิเศษทางเรียกลาภ
7. ว่านเพชรหลีก ได้มาครั้งนี้เฉพาะใบเท่านั้น ต้องไปนั่งเข้าสมาธิแผ่เมตตาจิตขอบิณฑบาตจากรุกขเทวดา เจ้าของว่านชนิดนี้มีอยู่บนยอดภูเขาสูง เรียกว่าเขาพนมศักดิ์ในประเทศลาวทางเดินไปถ้ำวัวแดงท่านได้พยายามทำความเพียรนั่งเจริญภาวนาอยู่ 15 วัน ใบว่านจึงร่วงลงมาให้เพียงสามใบเท่านั้น วิเศษในทางแคล้วคลาดจากภัยอันตราย และทางด้านกำบังตน


ปรากฏการเป็นพิเศษ เมื่อพุทธาภิเษกได้ 7 วัน กลับด้านบน
ซึ่งนับว่าการสร้างพระ 84,000 องค์ ครั้งนี้เป็นนิมิตอันดียิ่ง และเป็นมงคลอันสูงสุด ทั้งมีความมั่นใจอย่างยิ่ง ว่าคงได้รับผลสมความปรารถนา อย่างคุณวิเศษของขุนแผน ครั้งเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ทุกประการ เพราะแรงฤทธิ์อำนาจว่านยาแรงฤทธิ์เวทมนต์คาถา ประกอบด้วยความรู้ ความชำนาญความตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ทั้งสาม
1. พระอาจารย์สุภา กนฺตสีโล , อาจารย์ชุม ไชยคีรี , อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ทั้งสามอาจารย์ ไม่เคยรู้จักกัน บันดาลให้มาพบกัน มีความรักความสามัคคี มีเจตนาเสมอกัน
2. วิญญาณอาจารย์คง อาจารย์ของขุนแผน และวิญญาณขุนแผน มาเข้าประทับทรงบอกตำรา และเป็นประธานในการปลุกเสก บรรจุคุณตลอดพิธี
3. วันที่ 24 พฤศจิกายน เวลาที่อาจารย์ทั้งสามกำลังทำพิธีบวงสรวงสังเวย และผสมผงแร่ธาตุว่านยาเข้ารวมกัน พระสงฆ์ 9 รูป กำลังสวดไชยมงคลคาถาอยู่นั้น อีกาฝูงใหญ่ไม่เคยมีมาแต่ครั้งก่อน บินมาวนเป็นทักษิณาวัตร ร้องส่งเสียงอยู่ประมาณ 30 นาทีแล้วหายไป
4. วันที่ 31 ธันวาคม ปลุกเสกมาได้ 7 วัน เวลา 05.00 น. เกิดแสงสว่างขึ้นที่หน้าพระอุโบสถ ปรากฏแก่สายตาพระสงฆ์ ที่กำลังเตรียมตัวจะออกบิณฑบาตรนานประมาณ 1 นาที เวลา 06.30 น. พระผงรวม 108 องค์ ที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้นำไปอาราธนาลงในแม่น้ำดังกล่าวแล้ว แสดงอภินิหารเสด็จกลับมาต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนเป็นจำนวนมากซึ่งกำลังมุงดูกันอยู่ด้วยความแปลกใจและกำลังย่ำฆ้องทะยอยกันเสด็จกลับมาประมาณ 3 ชั่วโมงจึงหยุด
5. วันที่ 31 ธันวาคม เวลา 21.00 น. ทำพิธีตรวจนับพระที่เสด็จกลับปรากฏว่าพระเสด็จมาเพียง 106องค์ ขาดไป 2 องค์ คณะศิษย์เรียนถามวิญญาณขุนแผนท่านบอกว่า พระที่เสด็จกลับมานั้นท้าวภุชงค์นาคราช พร้อมด้วยบริวารนำมาให้ และที่ขาดไป 2 องค์ วิญญาณขุนแผน บอกว่า หลวงปู่คงมอบให้ท้าวภุชงค์กับพระมเหสี คนละ 1 องค์ เวลา 22.00 น. ทดลองความขลังด้านคงกระพัน โดยอาจารย์ชุม อบรมผู้มีศรัทธา 7 คน แจกพระให้ถือไว้ในมือ และอมไว้ในปากคนละ 1 องค์ แล้เอามีดโกน ใบมีดดาบ ฟันเชือดเฉือน และให้ผู้อื่นเข้ามาเชือดเฉือนดู ปรากฏว่าเป็นคงกระพันตลอด จึงเอามีดตัดผมก็ไม่ขาดต่อหน้าประชาชนตามตำรากล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีพระว่านวิเศษนี้อยู่ที่ตัว มีความเลื่อมใสจริงๆ เมื่อถึงคราวคับขันหมดที่พึ่ง
อย่างอื่น เช่น ออกรบศึก ถูกข้าศึกจับเป็นเชลย ถูกจองจำไว้ด้วยเครื่องพันธนาการ ให้ตั้งใจนึกถึงบ้าน และระลึกถึงคุณบิดามารดา เครื่องพันธนาการต่างๆ จะหลุดออกหมดกลับมาบ้านไหว้บิดามารดาได้ หรือเมื่อเราเป็นหัวหน้านำทัพ ลูกน้องถูกจับเป็นเชลย เพื่อนหรือญาติถูกจับเป็นเชลย หรือคนที่เรารักสูญหายไปจากบ้าน ตั้งใจภาวนาเรียกให้กลับ เมื่อเรามีพระชนิดนี้อยู่ที่ตัวเรา และพระอยู่ที่ตัวผู้ที่หายไปเรียกให้กลับมาได้
เมื่อคืนวันที่ 15 มกราคม 2507 เวลา 24.00 น. อาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้เรียกสุภาพบุรุษมา 12 คนอบรมให้รู้จักคุณวิเศษของพระ แล้วให้ทุกคนอมพระรอดไว้ในปากคนละหนึ่งองค์ แล้วพร้อมกันเอาอีกคนหนึ่งไปใส่กุญแจมือคร่อมเสาไว้ในป่าช้า แล้วอีก 11 คน มานั่งบริกรรมเรียกอยู่ในพระอุโบสถประมาณ 5 นาที คนที่ใส่กุญแจไว้ กุญแจหลุดออกหมดทั้งสองข้างกลับมาได้ต่อหน้าประชาชน ชี้ให้เห็นประจักษ์พยานว่า มีพระว่านวิเศษชนิดนี้อยู่ไปแล้วกลับ แม้จะถูกจองจำด้วยพันธนาการใดๆ ก็กลับได้


วัตถุมงคล พิธีเสด็จกลับ วัดสารอด มีดังนี้ กลับด้านบน
1. พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์ใหญ่ เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
2. พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้วพิมพ์เล็ก เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
3. พระรอด เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
4. รูปเหมือนหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เนื้อดำ , เนื้อเหลือง , เนื้อแดง (มันปู)
5. ประคำ 108 และรูปหลวงปู่คง เนื้อว่าน
6. เข็มกลัดรูปเหมือนหลวงปู่สุภา
7. ผ้ายันต์เสือ อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์
8. ผ้ายันต์สิงห์ อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์
9. น้ำมันมหานิยมเลิกรบ อาจารย์ชุม ไชยคีรี
วิธีใช้
พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกกำจัดภัยได้จริง แก่ผู้เข้าถึง รูปพระพุทธเจ้าทรงขุนแผนเรือนแก้ว ทรงพระรอด ประคำ 108 และรูปหลวงปู่คง รูปหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ที่สร้างขึ้นด้วยว่านยาแร่ธษตุพญาว่าน มหาว่าน ดอกไม้ เกษรดอกไม้ น้ำพระพุทธมนต์จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์รวม 2,000 กว่าชนิด จัดเป็นวัตถุพิเศษ พระอาจารย์และพระอาจารย์ที่มีเจตนาเป็นกุศล มีศีล สมาธิ ปัญญาปล่อยวางภารกิจอุทิศกำลังกายกำลังใจ ให้เป็นทานอธิษฐานสร้างพระจนครบ 84,000 องค์ เป็นพุทธบูชาสืบต่ออายุพระ/พุทธศาสนา โดยไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด อันเป็นส่วนอามิต สมมติเป็นบุคคลวิเศษ วิญญาณเทพชั้นสูงผู้ปรารถนา พระโพธิญาณมารวมปลุกเสก ตลอดพิธีเป็นเทพวิเศษกาลเวลาที่ทำพิธี ประกอบด้วย ฤกษ์ดี ยามดี มงคลดี เป็นกำเนิดวิเศษ สร้างเป็นรูปพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นรูปวิเศษ ทำพิธีพุทธาภิเษกสวดอธิษฐานบรรจุคุณ ปลุกเสกทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลา 30 วัน โดยวิญญาณขุนแผน อาจารย์สุภา อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ และศิษย์อาจารย์ทั้งสาม ตรวจสอบพิสูจน์ทดลองความขลังที่บรรจุไว้ทุกระยะ จนปรากฏประจักษ์แก่สายตาประชาชนมาแล้ว ด้วยอำนาจแรงฤทธิ์ขององค์คุณวิเศษครบองค์ 5 ดังกล่าวแล้วข้างต้น พุทธานุภาพของพระผงครั้งนี้จึงสูงสุด ผู้นับถือประสพผลดุจ
คุณวิเศษของขุนแผน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนพระรอดก็มีคุณวิเศษเหมือนพระรอดที่พระฤๅษีนารอดสร้างทุกประการกายที่ละเว้นแล้วจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ละเว้นจากการพูดเท็จ และจากการดื่มสุรายาเมาเป็นกายที่ควรแก่คุณพระ ใจที่ได้เจริญภาวนาแล้ว มีสติสัมปชัญญะมีหิริความละอายโอตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป เป็นใจที่ควรแก่คุณพระ ผู้สำรวมกายวาจาให้เป็นปกติ ปราศจากโทษ ชื่อว่าผู้เข้าถึงคุณพระ คุณพระที่เราเข้าถึงแล้วกำจัดภัยได้จริง
วิธีทำจิตให้เข้าถึงคุณพระ และยกเอาคุณพระเป็นที่พึ่ง ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ หมดจดปราศจากความลังเลสงสัย ทำความนอบน้อมพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ตามองดูรูปจิตระลึกถึงคุณ ภาวนากำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท กำหนดลมหายใจออกว่า โธ จนเกิดความสงบแล้วทำความปรารถนา หรือออกเดินทาง ถ้าจะให้วิเศษสำเร็จความปรารถนาชั้นสูงสุด ต้องนั่งบริกรรมภาวนากำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท กำหนดลมหายใจออกว่า โธ ให้นาน แล้วจึงทำความปรารถนาความสำเร็จอยู่ที่แรงอธิษฐานความสงบที่บังเกิดขึ้นกับจิตนั้นแหละ คือคุณพระ เด็กๆ มีจิตว่างเปล่า คุณพระคุ้มครองได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ผู้ไม่มีความเชื่อไม่ควรรับไปใช้ ผู้นำไปทดลองทำเป็นเล่นปราศจากความเคารพในรูปพระพุทธเจ้า ที่พระอาจารย์ และอาจารย์บรรจุคุณแล้วเป็นบาปกรรมอย่างหนัก เทพยดาและแรงครูอาจารย์ดลบันดาลให้เกิดโทษนานาชนิด เสื่อมลาภ เสื่อมยศ หมดที่พึ่งพระผงว่านยาวิเศษครั้งนี้ บรรจุคุณไว้พร้อมแล้วทุกประการ มีไว้ประจำตัวไปแล้วได้กลับ ไม่ไปเจ็บและไปตายด้วยภัยนานา ชนิดนอกบ้าน เพื่อส่งเสริมการไปแล้วกลับ ควรนำพระผงว่านวิเศษตั้งไว้ที่บูชาประจำบ้าน 1 องค์ นำติดตัวไป 1 องค์ แล้วทุกคนภายในบ้านของเราไปแล้วกลับอย่างที่เคยพิสูจน์ทดลองมาแล้ว เช่น นำพระไปอาราธนาลงในแม่น้ำส่วนหนึ่ง ไว้ประจำพิธีส่วนหนึ่ง ส่วนที่อยู่ในแม่น้ำส่วนหนึ่งเสด็จกลับมาได้ เอาพระให้ผู้มีความเชื่อ 12 คน อมไว้ในปาก แล้วเอาอีกคนหนึ่งไปใส่กุญแจคร่อมเสาในป่าช้า เวลา 24.00 น. ให้พวกหนึ่งไปบริกรรมภาวนาเรียกอยู่ในอุโบสถ คนที่ถูกใส่
กุญแจคร่อมเสาไว้ในป่าช้า กลับมาได้จึงรับรองว่าพระนี้วิเศษในทางไปกลับได้เป็นอย่างดียิ่งวิธีภาวนาชักลูกประคำ ว่านวิเศษ 108 ของหลวงปู่คงก่อนเข้านั่งภาวนาควรอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด จัดดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ ทำกิจเบื้องต้นเสร็จแล้ว ให้ตั้งใจสมาทานวิรัชศีล 5 คือ ว่า นะโม 3 จบ แล้วว่า พุทธังสะระนังคัจฉามิ ธัมมังสะระ นังคัจฉามิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธังสะระนังคัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมังสะระนังคัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ ตะติยัมปิพุทธังสะระนังคัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมังสะ
ระนังคัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ แล้วว่า… อิมานิ ปัญจะสิกยาปะธานิสมาธิยามิ 3 จบ
แล้วว่า… ปานาติปาตา เวระมรี สิกขา ปะทัง สมาธิยามิ อทินนาทานาเวระมนีสิกขาปะทังสมาธิยามิ กาเมสุมิจฉาจาราเวระมนีสิกขาปะทังสมาธิยามิ มุสาวาทาเวระมนีสิกยาปะทังสมาธิยามิ สุราเมระยะมัชปะมาทัตถานาเวระมนีสิกขาปะทังสมาธิยามิ ผู้ถือศีล 8 ก็ให้สมาทานวิรัชศีล 5 แล้วนั่งสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้ายเอาลูกประคำวางไว้บนมือ หลับตาภาวนากำหนดลมหายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” จนจิตสงบแล้วเอามือขวาจับลูกประคำยกขึ้นเสมออก ภาวนาคาถาพระธรรมราช ว่า พุทธังสะระนังคัจฉามิ ธัมมังสะระนังคัจฉามิ สังฆังสะระนังคัจฉามิ ทะทะทะ โรโรโร อะอะอะ สะสะสะ โสโสโส โณโณโณ นะโมพุทธายะ 1 จบ นับลูกประคำไป 1 ลูกจนครบ 108 แล้ววางลูกประคำลงข้างหน้า กราบสามครั้ง หรือถ้านำติดตัวไป ก็ให้เอาลูกประคำสวมคอไป ก่อนออกเดินทางก็กำหนดลมหายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ทำจิตให้สงบแล้วออกเดินทางไป
หรือถ้าจะทำการปลุกเสกพระเครื่องราง หรือของขลังอื่นๆ ก็ทำได้ ทำตามพิธีดังกล่าวข้างต้น หรือจะเอาคาถา หรือพระกรรมฐานบทอันที่ชอบกับอารมย์มาภาวนาชักลูกประคำก็ได้ เป็นบุญเป็นกุศลอย่างประเสริฐ มีพลานิสงส์ นับเป็นกัปเป็นกัลป์ เป็นปัจจัยแก่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ ขอให้ทุกคนพยายามทำอย่าประมาท อย่าให้เสียชาติที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระศาสนา ส่วนประโยชน์ที่จะพึงได้ในปัจจุบัน ก็มีมาก หลวงปู่ท่านบอกว่าใช้ได้ 108 แล้วแต่จะปรารถนา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ เชื่อมากได้ผลมาก เชื่อน้อยได้ผลน้อย ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อย

วิธีปฏิบัติให้เกิดผลตามตำรามีดังนี้
1. ภาวนาชักลูกประคำด้วยพระคาถาธรรมราช 108 จบ แล้วตั้งไว้หัวนอน จะเกิดนิมิตดี กันผีกันโจร กันไฟ รู้เหตุการณ์ร้าย ดีล่วงหน้า โจรผู้ร้ายเข้ามาจะเห็นคนเดินอยู่รอบบ้าน
2. ภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ เวลาตื่นนอน จะเป็นผู้เจริญด้วยลาภ เจริญด้วยยศ ทำมาค้าขึ้นทำให้กิจการที่กำลังคิดอยู่สำเร็จ ทำให้อายุยืน
3. ภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ แล้วเอาลูกประคำใส่ลงในน้ำ เอาน้ำล้างหน้าเป็นเมตตามหานิยม ถ้าเอาน้ำนั้นกิน ทุกวันเป็นคงกระพัน ถ้าเอาน้ำนั้นไปอาบ เป็นการสะเดาะเคราะห์
ทำให้โชคร้ายกลายเป็นดี มีสติปัญญา มีวาสนาเจริญก้าวหน้า
4. ถ้าหากไปนอนในป่าในถ้ำ ก่อนจะนอนชักลูกประคำ 108 ด้วยคาถาพระธรรมราชแล้วนอนเทวดาจะมาคุ้มครองรักษา หรือมาบอกลาภให้ ถ้าหลงทางก็จะพบทาง ถ้าอดข้าวจะพบบ้าน
คน
5. ชักลูกประคำ 108 จบ แล้วนำลูกประคำติดตัวไป กันเครื่องศัตราวุธ กันอุปัทวเหตุ กันสัตว์ร้าย คนร้าย กำบังตาผู้คิดร้าย หรือศัตรูเห็นเราคนเดียวเป็นหลายคน
6. ก่อนออกปราบโจรผู้ร้าย หรือไปรบกับข้าศึกหรือไปในสถานที่ๆ ไม่ปลอดภัย ให้ตั้งใจภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ แล้วเอาลูกประคำสวมคอไป กระสุนและวัตถุระเบิดใดๆ ไม่ถูกกายเรา
เลย หรือถ้าหากศัตรูล้อมเราไว้ ภาวนาคาถาพระธรรมราชเดินแหวกวงล้อมไป ศัตรูทำร้ายมิได้เลย ถ้าถูกจับก็ให้ภาวนาสะเดาะเครื่องพันธนาการได้ทุกชนิด
7. ถ้าจะให้ลูกหลานหรือบุคคลอื่นเป็นคงกระพันก็ให้ภาวนาชักลูกประคำ 108 จบ แล้วเอาลูกประคำใส่ลงไปในน้ำเสกต่อไปอีกประมาณ 108 จบ เอาน้ำให้กิน คงกระพันทุกคน ถ้าเอาน้ำอาบให้ก็เป็นการสะเดาะเคราะห์ให้หมดไปได้เป็นอย่างดี หรืออธิษฐานให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ สุดแล้วแต่จะปรารถนา ก่อนจะทำทุกครั้งให้ระลึกถึงคุณพระ และหลวงปู่คง
วิธีใช้น้ำมัน น้ำมันมหานิยม ของอาจารย์ชุม ไชยคีรีก่อนใช้ต้องตั้งใจแผ่เมตตาว่า “ขอสัตว์ทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีเวรต่อกัน เป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเทอญ ขอสัตว์ทั้งสิ้นนั้น จง
ได้เสวยผลบุญอันข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้เทอญ” นี้เป็นหลักการแผ่เมตตาจิต ของผู้นับถือพุทธศาสนาที่กระทำกันอยู่เป็นกิจวัตร เป็นธรรมชั้นสูงในศาสนานี้ แต่ไม่มีอะไรแสดงออกมาให้ผู้มีปัญญาน้อย และผู้ไม่ทำเห็นประจักษ์แก่สายตา เพราะเป็นเรื่องของจิต
ข้าพเจ้ามีความปรารถนาให้ เพื่อนมนุษย์ทุกคนรักเมตตาจิตแผ่เมตตาจิตเข้าหากัน จะได้อยู่เป็นสุขเลิกรบเลิกเบียดเบียน ซึ่งกันและกัน จึงค้นคว้าหาคุณแห่งเมตตาจิต ที่พอจะแสดงออกเป็นเครื่องจูงให้ผู้พบเห็น เชื่อและรักในการเจริญภาวนา จึงแผ่เมตตาจิตอธิษฐานไว้ใน น้ำมันหอมให้เป็นน้ำมันมหานิยมทดลองให้ประชาชนเห็นจริง โดยหาสัตว์ที่เป็นศัตรูต่อกัน เช่น หนูกับแมว , สุนัขกับแมว มาทาน้ำมันแล้วขอให้เลิกรบ เลิกจองเวรต่อกัน สัตว์เหล่านั้นก็เลิกได้สมความปรารถนา

เนื้อหาเพิ่มเติม กลับด้านบน
มวลสารที่สำคัญ
ประกอบไปด้วยว่านประเภทต่างๆ หลายชนิด โดยว่านที่สำคัญจากการสอบถาม หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ท่านเล่าว่า ว่าที่หายากชื่อ ว่าโพรงกินเหล็ก ต้องเอาเหล็กให้หัวว่านกินจนอิ่มเสียก่อนจึงจะกู้เอาหัวว่านได้โดยต้องขอซื้อผู้ที่พาไปเป็นเงินถึง 30,000 กีบ ในสมัยนั้น ว่านชนิดนี้น่าจะมีผลทำให้พระพิมพ์ที่มีว่านนี้ผสมอยู่ดูดแม่เหล็กติด เพราะเป็นวิธีชี้ขาดว่าเป็นพระแท้ในปัจจุบัน โดยพระสีดำและแดงจะดูดแม่เหล็กติด ส่วนพระสีเหลืองจะดูดแม่เหล็กไม่ติด เพราะมวลสารหลักเป็นเกสรดอกไม้ 108 ซึ่งถือเป็นของเมตตาชั้นสูง และสะอาด คนสมัยก่อนจะเสาะหาน้ำผึ้งในเดือน 5 มาทำยารักษาโรค และนำมาทำยาอายุวัฒนะ เพราะส่วนผสมที่สำคัญที่มีอยู่ในน้ำผึ้งคือ เกสรดอกไม้ 108 ชนิด ที่ผึ้งนำมาสะสมไว้ในน้ำผึ้งจำนวนมาก ถือเป็นของดีอย่างหนึ่งนั้นเอง

ลักษณะของพระที่พบ
พระที่มีลักษณะพิเศษอีกกลุ่มหนึ่งที่พบคือ มีเลขหนึ่งไทยด้านหลังเรียกว่า พระคะแนนร้อยพระขุนแผนที่มียันต์ปั๊มอยู่ด้านหน้า พระขุนแผนที่หลังมีลายใบไม้เหมือนพิมพ์รูปเหมือน หลวงปู่สุภาส่วนพระที่พบว่ามีการลงรักปิดทอง และทาบรอนซ์นั้นเพราะ พระที่นำไปที่ภูเก็ตนั้น การขนย้ายผ่านระยะทางไกล โดยใส่ในภาชนะเดียวจำนวนหลายองค์รวมกัน และองค์พระไม่ได้มีสิ่งห่อหุ้มป้องกันทำให้องค์พระกระทบเสียดสีกัน พระจึงชำรุดไม่สวย และยังนำมาทำพิธีเสด็จกลับในทะเลอีกครั้ง ด้วยเหตุผลดังกล่าว และเพื่อเป็นการทำสัญลักษณ์จำแนกพระเสด็จกลับ จึงลงรักปิดทองและทาบรอนซ์เพื่อให้องค์พระดูสวยงาม พระองค์ที่ลงรักหนา ทองที่ปิดจะเรียบสวยงาม ส่วนองค์ที่ลงรักบาง ทองที่ปิดจะไม่เรียบร้อยสวยงามเหมือนพระที่ลงรักหนา ส่วนพระที่เสด็จกลับมาที่ชายหาดภายหลังจะมีลักษณะผิวร่อน เพราะอยู่ในทะเลเป็นวัน พระที่หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล นำไปที่ภูเก็ตมีจำนวน 3– 4 หมื่นองค์ แต่พระพิมพ์ขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว ทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก เมื่อคราวพิมพ์พระ ในจำนวน 84,000 องค์ มีจำนวนประมาณไม่ถึงครึ่ง ที่เหลือเป็นพิมพ์พระรอดเสียส่วนใหญ่ และพระ
จำนวนมากบรรจุอยู่ในวัดสารอด พระบางส่วนมีผู้นำไปอาราธนา คล้องจนชำรุดเสียหายไปเป็นจำนวนมาก เพราะเห็นเหตุการณ์พระเสด็จกลับด้วยตาเปล่า จึงพบพระพิมพ์ขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว ทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก จำนวนไม่มากนักในปัจจุบัน แต่จะพบพระพิมพ์พระรอดได้ง่ายกว่า

พระเสด็จกลับมาอย่างไร?
พิธีเสด็จกลับโดยย่อ เริ่มจากการบวงสรวง สร้างศาลเทพารักษ์คาดด้วยผ้าขาว นำพระไปปล่อยลงทะเล และพระเกจิพระทรงคุณ นั่งบริกรรมเรียกพระ จนพระเสด็จกลับมาที่ศาลเทพารักษ์จนหมดเป็นอันเสร็จพิธี การทำพิธีเสด็จกลับดังกล่าวมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายตลอดพิธี และผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์ในพิธีนี้หลายคนทั้งที่อยู่กรุงเทพฯ คราวทำพิธีที่ วัดสารอดและที่สำนักสงฆ์ เกาะสิเหร่ เล่าตรงกันคือขณะที่พระกำลังเสด็จกลับนั้น ตอนที่เห็นเป็นเวลากลางวัน จะเห็นสายรุ้งพาดมายังศาลเทพารักษ์อยู่ตลอดเป็นเวลานาน และที่เพดานคาดด้วยผ้าขาว เริ่มมีน้ำหยดและผ้าขาวเริ่มหย่อนตัวลงทีละนิดเหมือนมีวัตุถุหนักชิ้นเล็ก บางอย่างรวมกันอยู่ตรงกลางจนผ้าตกท้องช้างลงมา ตามน้ำหนักของวัตถุเล็กๆ เหล่านั้น และยังมีรูปถ่ายวัตถุมงคลที่เป็นหลักฐานในคราวนั้นยืนยัน นอกจากพระเครื่องที่นำไปทำพิธีเสด็จกลับ ยังมีประคำ 108 ทั้งเส้นซึ่งก็เสด็จกลับมาด้วยทั้งเส้นเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่สายตาผู้อยู่ร่วมในพิธี และผู้สังเกตการณ์

พิมพ์พระที่พบ
พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว
พิมพ์ใหญ่ พระพิมพ์ลึก 2 พิมพ์ , พระพิมพ์ตื้น 1 พิมพ์
ลักษณะพิมพ์ เป็นรูปพระพุทธห่มจีวร ประทับนั่งปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ยันต์ประทับด้านหลังมี 2
ลักษณะ เส้นยันต์เล็กคมชัด เส้นยันต์หนา

พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว
พิมพ์เล็ก พระพิมพ์ลึก 2 พิมพ์ , พระพิมพ์ตื้น 1 พิมพ์
ลักษณะพิมพ์ เป็นรูปพระพุทธห่มจีวรประทับนั่งปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ยันต์ประทับด้านหลัง มี 2
ลักษณะ เส้นยันต์เล็กคมชัด เส้นยันต์หนา

พระรอด มี 2 พิมพ์ พระพิมพ์ลึก , พระพิมพ์ตื้น
ลักษณะพิมพ์ เป็นรูปพระพุทธประทับนั่งมารวิชัยในซุ้มใบโพธิ์
รูปเหมือนหลวงพ่อคง พิมพ์หนา (หากเป็นกะโหลกประคำจะเจาะรูทะลุด้านบน) พิมพ์บาง (หากเป็น
กะโหลกประคำจะเจาะรูทะลุด้านบน)
ลักษณะพิมพ์ เป็นรูปหลวงปู่คงนั่งเต็มองค์ในซุ้มพิมพ์สามเหลี่ยมมน
รูปเหมือนหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล รูปไข่ครึ่งองค ์ พระมีพิมพ์เดียว
ลักษณะพิมพ์ ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ครึ่งองค์ มีชื่อ หลวงพ่อสุภา กนฺตสีโล ด้านหลังมีรอย
ใบไม้ประทับหลังพอสังเกตเห็นได้ชัด

พระเทพนิมิต
พิมพ์นาคปรก พิมพ์นาคปรกใหญ่ พิมพ์นาคปรกเล็ก
ลักษณะพิมพ์ พระประทับนั่งบนบัลลังก์นาคปรก 7 เศียร หลังยันต์ห้า
พระเทพนิมิต พิมพ์กลีบบัว พระมีพิมพ์เดียว
ลักษณะพิมพ์ กลีบบัวสามเหลี่ยม พระพุทธปางสมาธิประทับนั่งบนฐานบัวหลังเรียบ
หมายเหตุ : สำหรับพระพิมพ์เทพนิมิต ทั้งสองพิมพ์นี้เป็นพระที่นำพิมพ์พระเทพนิมิตปี 2496 มาตกแต่งพิมพ์และพิมพ์พระร่วมพิธีปลุกเสกจนเกิดการเข้าใจผิดว่า เป็นพระนอกพิธีและนำเข้ามาปลอมปนส่วนใหญ่ในหมู่คณะศิษย์ยุคหลังของ อาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็เข้าใจผิดว่าเป็นพระเทพนิมิตปลอม เพราะเนื้อหาผิดไป แต่ความเป็นจริงคือ พระในพิธีเสด็จกลับ พ.ศ. 2506 และเป็นส่วนที่แจกแก่คณะศิษย์รุ่นแรกๆ ที่มาช่วยงานพิธีนี้ในยุคนั้นสีของเนื้อพระทุกพิมพ์เท่าที่พบ สีแดง (มันปู) , สีเหลือง , สีดำ นอกจากสีหลักที่พบ 3 สี ในแต่ละสีก็จะมีสีที่เข้มและอ่อนแตกต่างกันไม่มาก เช่น พระเนื้อสีดำ ก็จะพบพระเนื้อสีเทา พระเนื้อแดงก็พบทั้งสีแดงและสีแดงเข้มอมน้ำตาล ส่วนสีเหลืองพบสีเหลืองอมเขียวด้วย แต่จำนวนมีน้อยมาก ในเนื้อพระยังมีลักษณะพิเศษ คือดูดด้วยแม่เหล็กติดในพระสีดำและแดง ในเนื้อพระทุกสี จะมีเม็ดสีขาวแทรกอยู่ประปรายทั่วไป สังเกตเห็นได้ชัด

พระลักษณะพิเศษที่พบ
1. พระหน้าทองคำ
ลักษณะของพระจะมีแผ่นปั๊มด้วยทองคำครอบองค์พระด้านหน้า มีลักษณะสวยงามมีจำนวนน้อย พบในพระทั้งสามพิมพ์ คือ พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์ใหญ่ และพิมพ์
เล็ก รูปเหมือนหลวงปู่สุภา รูปไข่ พระรอด
2. พระหน้าเงิน (พระคะแนนพัน) ลักษณะของพระจะมีแผ่นปั๊มด้วยเงินครอบองค์พระด้านหน้า มีลักษณะสวยงาม มีจำนวนน้อย พบในพระทั้งสามพิมพ์คือ พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้วพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก รูปเหมือนหลวงปู่สุภา รูปไข่ พระรอดบางองค์พบว่ามีการ กะไหล่ทอง ที่แผ่นเงินด้วย
3. พระคะแนนร้อย พบในพระขุนแผนพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็ก รูปเหมือนหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล รูปไข่ครึ่งองค์ และพระรอดทุกพิมพ์เป็นพระที่มีลักษณะพิเศษ พบได้น้อย เพราะพระคะแนนร้อยคือ พระที่มีเลข ๑ ไทย ประทับหลัง มี 2 แบบ คือ เลข ๑ ใหญ่ , เลข ๑ เล็ก พระคะแนนร้อยคือ พระที่แทนจำนวนการนับ พระทุก 100 องค์จะมีพระคะแนนร้อย 1 องค์ เพื่อช่วยการนับจำนวนให้ง่ายขึ้น พระคะแนนร้อยจะพบในพระที่มีสีเหลืองมากที่สุด รองลงมาคือ สีแดง ส่วนสีดำจนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่ามี จึงอนุมานว่าไม่มีพระสีดำที่เป็นพระคะแนนร้อย
4. พระขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์ใหญ่ (หลังใบไม้) พระหลังใบไม้เหมือนพิมพ์รูปเหมือนครึ่งองค์รูปไข่หลวงปู่สุภา นอกจากนี้ยังพบพระที่มียันต์กลับ และบางองค์มียันต์มาประทับซ้อนอยู่กับพระพุทธด้านหน้า ถือเป็นลักษณะพิเศษที่ควรเก็บสะสม
5. พระปิดทองเดิม ด้านหน้า การปิดทอง แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
5.1 ลงรักแล้วจึงปิดทอง ส่วนมากพระที่พบมักมีลักษณะที่ไม่สวยงาม เนื่องจากการขนย้ายจากกรุงเทพฯ เพื่อไปทำพิธีเสด็จกลับที่ภูเก็ต และเมื่อหลังพิธีเสด็จกลับ องค์พระมีคราบขึ้นปกคลุม ไม่สวยงามจึงลงรักก่อนปิดทอง ลักษณะแผ่นทองคำเปลวที่ปิดเรียบตึงสวยงาม แตกต่างจากการปิดทองใหม่อย่างเห็นได้ชัด
5.2 ปิดทองโดยใช้แลคเกอร์ทาบางๆ พระที่ปิดทองลักษณะนี้ส่วนมากเป็นพระที่สวยมีหน้ามีตา หากลงรักทับจะทำให้รายละเอียดเสียไป จึงใช้วัสดุอื่นแทนรักซึ่งดูสวยงามอีกแบบ และเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่พบ
6. พระเสด็จกลับจากทะเล เมื่อทำพิธีบวงสรวง และนำพระพิมพ์ต่างๆ อาราธนาลงในทะเล สำหรับพระที่เสด็จกลับมามีลักษณะอย่างไร ? และพระองค์ไหน จึงจะเรียกว่าพระเสด็จกลับอย่างแท้จริง ในความจริงแล้วพิธีเสด็จกลับทำเพื่อพิสูจน์พุทธคุณขององค์พระ ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ถูกต้องตาม
พิธีกรรมและเจตนาอันบริสุทธิ์ของคณาจารย์ที่ทำพิธีหรือไม่ ? หากถูกต้องแล้ว พระจะเสด็จกลับมายังปะรำพิธีที่จัดเตรียมไว้ ถือเป็นเคล็ดวิชาอันศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าและเป็นที่มาของคำว่า “พระเสด็จกลับ” ส่วนองค์ที่ไม่ได้นำลงไปทำพิธีเสด็จกลับ ก็มีความศักดิ์สิทธิ์เท่าเทียมเสมอกัน เพราะถือว่าทำพิธีปลุกเสกในครั้งเดียวกัน สำหรับพระองค์ที่เสด็จกลับจากทะเลมีวิธีพิจารณา 2 ลักษณะ ดังนี้
6.1 พระหน้าปิดทองเดิม ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากที่ พระเสด็จกลับมาแล้วเพื่อทำสัญลักษณ์ให้แตกต่าง จากพระที่ไม่ได้นำมาทำพิธีเสด็จกลับ จึงปิดทองด้านหน้าไว้เป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันสามารถแยกพระปิดทองเก่าและใหม่ได้ด้วยสีของทองที่ปิดทอง ที่ปิดทองในอดีตจะเป็นทองคำเปลวแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และมีสีทองอมส้มแตกต่างจากสีทองคำเปลวในปัจจุบัน พระที่ลงรักปิดทอง จะพิจารณาได้ง่ายกว่าเพราะสีของทองจะปรากฏให้เห็นได้ชัด
6.2 พระที่มีคราบเกลือ ลักษณะของคราบที่ปกคลุมองค์พระอยู่ เกิดจากการที่พระถูกเก็บในภาชนะเป็นระยะเวลาหนึ่งส่วนที่อยู่ด้านบนปรากฏคราบดังกล่าวปกคลุมน้อย ส่วนด้านล่างมีคราบมากกว่าคราบที่เข้าใจกันเป็นคราบเกลือ ในความเป็นจริงคือ คราบที่เกิดจากออกไซด์ของหินปูนในน้ำทะเลที่องค์พระดูดซึมน้ำทะเลไว้ในขณะที่จมอยู่ในทะเล จะสังเกตว่าเป็นคราบที่ติดแน่น ต้องใช้แปลงขัดจึงจะหลุดออก
พระเสด็จกลับ แม้จะถูกจำแนกออกจากพระที่ไม่ได้นำลงไปทำพิธีเสด็จกลับเป็นที่เสาะหากัน พอจะมีข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ พระทุกพิมพ์รวมกันแล้วมี 84,000 องค์ แบ่งจากวัดสารอด ลงมาที่ สำนักสงฆ์เกาะสิเหร่ ครึ่งหนึ่ง คือ 40,000 องค์ และทั้งสองส่วนยังนำไปบรรจุกรุอีกอย่างส่วนละกว่าครึ่งเป็นมูลเหตุให้ไม่สามารถพบพระได้ง่ายนัก อีกทั้งมีผู้ที่รู้และเห็นพิธีกรรมโดยตลอด หลายท่านเก็บสะสมพระชุดนี้มาโดยตลอดก็มีอยู่มาก เพราะการทำพิธีกรรมนี้ ไม่ได้ปิดเป็นความลับแต่ประการใด ส่วนพระที่นำไปแจกที่ วัดเกาะสีคิ้ว ก็มีจำนวนหลายพันองค์ แต่ก็ตกอยู่กับผู้ที่รู้ และเชื่อถือกันเป็นส่วนมากเพราะมีการทดลองเรื่องคงกระพัน และเมตตาให้เห็นกันด้วยตาเปล่าโดยมีรูปถ่าย ที่สามารถสืบค้นได้จนตลอดพิธีการสร้าง พิธีปลุกเสกไปจนถึงการทำพิธีเสด็จกลับ เป็นหลักฐานสำคัญที่น่าเชื่อถือได้

เคล็ดลับในพิธีเสด็จกลับ
เริ่มจากการเสาะหาพาหนะ คือ เรือที่จะนำเครื่องบวงสรวง และพระออกทำพิธีเสด็จกลับในท้องทะเลโดยเลือกเรือที่มีชื่อเป็นมงคลคือ “กอบลาภ” ย่อมที่จะดีทางโชคลาภไปค้าขายที่ใด ไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำ ก็จะนำทรัพย์สินเงินทองกลับมาสู่ครอบครัว และเคหะสถาน ผู้ใดที่มีพระเสด็จกลับนี้อยู่กับตัว ก็จะเป็นผู้ที่มีโชคดีเหนือกว่าบุคคลอื่นๆ และชื่อ “กอบลาภ” นี้ อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ยังนำมาตั้งชื่อลูกหลานของท่านไว้ด้วยเนื่องจากถือว่าเป็นมงคล ในส่วนขององค์พระ ยันต์ที่ประทับหลังเป็นยันต์กลับหัวถือเป็นเคล็ดว่า ไปแล้วต้องได้กลับ และเมื่อเจอเรื่องร้ายก็จะกลับกลายเป็นดี มวลสารในองค์พระมีที่สำคัญหลายอย่าง แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่บันทึกไว้ชัดเจนว่า “ดอกว่านขันหมากเงิน ขันหมากทอง ขาดไม่ได้” เพราะดีทางโชคลาภ และหากผู้ที่เข้าใจในเคล็ดนี้คือ หากจะไปสู่ขอลูกสาวบ้านใครแล้ว หากมีขันหมากไปตามประเพณีแล้ว ก็ยากที่จะปฏิเสธกันได้ และขันหมากก็มีแต่สิ่งมงคล คือ แก้ว แหวน เงิน ทอง และไม้มงคลต่างๆ ถือเป็นความอุดมสมบูรณ์ และมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง ในประเพณีที่ปฏิบัติจนเป็นที่เข้าใจกันในสังคมไทย นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ความสับสนที่เกิดในปัจจุบัน
โดยความเป็นจริงแล้วข้อมูลแรกที่ยากจะปฏิเสธได้ คือ พระทำการกดพิมพ์ปลุกเสก และทำพิธีเสด็จกลับโดยอาราธนาพระลงในแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วอัญเชิญพระเสด็จกลับที่วัดสารอด เขตราชบูรณะ กรุงเทพฯ เป็นสถานที่แรกโดยมีดวงวิญญาณหลวงปู่คง และดวงวิญญาณขุนแผนประทับทรงควบคุมกำกับอยู่ตลอดพิธีแล้วจึงนำพระไปทำ พิธีเสด็จกลับที่เกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต อีกครั้ง ด้วยเหตุผลว่า มีผู้ไม่เชื่อว่าพระจะเกิดการเสด็จกลับมาได้จริง จึงต้องมีการทำพิธีเสด็จกลับเป็นครั้งที่สอง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นทั้งที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต หากพระไม่เสด็จกลับมาจริงในเวลานั้นทั้งสองคราว ก็มีการเพ่งเล็งจากฝ่ายบ้านเมืองว่าหลอกลวงประชาชน โดยในส่วนของคณาจารย์ผู้ประกอบพิธีที่เป็นฆราวาส จะถูกคุมขังรวมถึงพระสงฆ์ก็จะถูกนิมนต์ให้สึกด้วย และในปัจจุบันนี้พระคณาจารย์ทั้งหมดทุกท่าน ไม่มีประวัติว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า พระเสด็จกลับมาจริงจนในปัจจุบัน หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล อายุ 108 ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดสีลสุภาราม จังหวัดภูเก็ต อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ ถึงแก่กรรมแล้ว ไม่ทราบวาระอาจารย์ชุม ไชยคีรี ถึงแก่กรรมแล้วเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2525 และพระเครื่องชุดนี้ สืบเนื่องจากการทำพิธีต่างๆ ทั้งหมดทุกขั้นตอน เกิดจากการที่คณาจารย์ทุกท่านมาพบและรวมตัวกัน โดยแบ่งงานกันเป็นส่วนๆ ฝ่ายพิธีกรรมคือ อาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ , อาจารย์ชุม ไชยคีรี การกดพิมพ์พระ และผสมมวลสารผู้ให้สัดส่วนในการผสมคือ คุณบุญสืบ ไชยคีรี คณะศิษย์นุ่งขาว ห่มขาว เป็นผู้กดพิมพ์ร่วมกับคณาจารย์ทุกท่าน หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ในสมัยนั้น เป็นประธานฝ่ายสงฆ์และเสาะหาว่าน มารวมกับมวลสารวิเศษ และว่านในส่วนของอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร์ และ อาจารย์ชุม ไชยคีรี ที่มีอยู่เดิมแล้ว สรุปโดยนัยได้ว่าพระเครื่องทั้งหมดทำขึ้นเพื่อสมนาคุณแก่ผู้ทำบุญบูรณะ วัดสารอด และสร้างเสนาสนะ สำนักสงฆ์เกาะสิเหร่ ในขณะนั้น โดยพระทั้งหมดถือเป็นของผู้ที่ริเริ่ม คือ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ในปัจจุบัน โดยคณาจารย์ผู้เข้าร่วมนั้นนอกจากช่วยทำพิธี และปลุกเสกยังบริจาคสมทบช่วยงานพิธีอีกด้วยโดยไม่
หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และถือว่าเป็นของท่ามกลางสงฆ์ทั้งหมด หากจะได้ไปบ้างก็เพื่อแจกแก่คณะศิษย์ และผู้ที่อยู่ห่างไกล แต่ไม่ได้มาร่วมพิธี หรือลูกหลานท่านเท่านั้น จึงไม่ควรสับสน และแบ่งแยกพระเครื่องให้เป็นของใครโดยเฉพาะทั้งสิ้น เพราะเหตุผลสุดท้ายคือ ในพระชุดนี้มีพิมพ์พระรูปเหมือนพิมพ์รูปไข่ครึ่งองค์ของพระเกจิอยู่องค์เดียวคือ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เป็นหลักฐานว่าท่านเป็นผู้ดำริทำพระเครื่องชุดนี้ตามเคล็ดวิชาของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ปัจจุบันในหมู่ลูกศิษย์หลวงปู่มีพระพิมพ์นี้น้อยมาก จากการสอบถามของผู้รวบรวม เพราะหายาก และเป็นพิมพ์รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน ซึ่งต้องจับตาพระเครื่องชุดนี้กันให้ดี เพราะอนาคตอาจมีค่านิยมสะสมสูงเหมือนพระผงชุด หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ก็เป็นได้ ในส่วนของการปลุกเสกพระเครื่อง เสกตามวาระต่างๆ แล้ว จึงเสกผูกเสกกันเป็นวาระสุดท้ายคือ กันคัดกันถอนซึ่งเป็นสาระสำคัญของการปลุกเสก จากนั้นจึงแบ่งพระเครื่องออกเป็นส่วนๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ วัดสารอด กรุงเทพฯ ประมาณ 40,000 องค์ แบ่งบรรจุกรุในวัดครึ่งหนึ่ง สำนักสงฆ์เกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต ประมาณ 40,000 องค์ แบ่งบรรจุกรุ ในถ้ำพระทอง ที่จังหวัดสกลนครส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งบรรจุไว้ใต้ฐานพระพุทธไสยาสน์ที่สำนักสงฆ์เกาะสิเหร่ อีกส่วนหนึ่งแจกแก่ผู้ทำบุญที่วัดเกาะสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ประมาณได้ว่า จำนวนพระเครื่องที่หมุนเวียนอยู่มีจำนวน ไม่ถึง 30,000 องค์ รวบรวมทุกพิมพ์ โดยมีพิมพ์ขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์ใหญ่ อยู่ไม่ถึง 15% ปัจจุบันกระจายอยู่ในกลุ่มผู้สะสม และชำรุดเสียหายเมื่อผ่านกาลเวลา มาจนถึงปัจจุบัน 41 ปี แล้วอีกจำนวนหนึ่งจากการที่พระกระจายไปยังที่ต่างๆ ในอดีตทั้งที่มีอยู่เดิมในกรุงเทพฯ และผู้ศรัทธาใน
กรุงเทพฯ ที่รู้ข้อมูลอยู่ก่อนที่จะมีการเผยแพร่มากที่สุด เนื่องจากมีเอกสารเก่าเป็นหนังสือ ประวัติการสร้างพระผงด้วยว่านวิเศษ 20,000 กว่าชนิด 84,000 องค์ เมื่อปี 2506 ของวัดสารอด เป็นข้อมูลเบื้องต้น จึงมีการสะสมจากสถานที่ต่างๆ รวมถึงภูเก็ตด้วย พระเสด็จกลับจึงมารวมกันในกรุงเทพฯ ปัจจุบันพระเครื่องชุดนี้มีมากในกลุ่มผู้สะสมกรุงเทพฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คณะศิษยานุศิษย์ของพระเกจิ และอาจารย์ที่ร่วมในพิธีเสด็จกลับ ส่วนมากทำงานในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกที่พระเครื่องในส่วนกลาง มีมากกว่าจุดอื่นๆ เพราะกรุงเทพฯ ถือเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างในปัจจุบัน

รูปภาพประกอบ กลับด้านบน